‘เต๋า’ นักแสดงวัยรุ่นที่มีแฟนคลับติดตามจำนวนมากในละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง คือผลงานล่าสุดที่เป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือว่า เติร์ด-ลภัส งามเชวง ไม่ใช่แค่เด็กวัยรุ่นที่มีแค่หน้าตา แต่เขายังทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมด เพื่อพัฒนาตัวเองสู่การเป็น ‘ศิลปิน’ ที่ทำได้ทุกอย่าง ในฐานะหนึ่งในศิลปินจากโปรเจกต์พัฒนาศิลปิน 9×9 ของค่าย 4NOLOGUE
เพราะนี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะทำให้เติร์ดสามารถสานความฝันตั้งแต่วัยเด็ก ที่อยากเป็นศิลปินและมอบความสุขให้กับผู้ชมผ่านผลงานทุกอย่างที่เขาตั้งใจทำมันออกมา พร้อมกับเพื่อนร่วมโปรเจกต์อีก 8 คน ที่ยอมใช้เวลาวันละ 10 ชั่วโมงในการซ้อมหนักติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง
ในมุมมองของเติร์ด ตัวละคร ‘เต๋า’ เป็นคนแบบไหน
เป็นลูกคนที่ 3 ของบ้านภัสสร (รับบทโดย แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช) อยู่ในช่วงวัยรุ่นที่อยู่ระหว่างความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ ในเรื่องต้องเป็นดาราที่มีชื่อเสียงมาก เขารับมือกับชื่อเสียงที่เข้ามาได้ค่อนข้างดี วางตัวดี อยู่เป็น แต่เวลากลับมาบ้าน เขาจะรู้สึกว่า นี่คือพื้นที่ปลอดภัยที่เขาไม่จำเป็นต้องวางตัวแบบที่สังคมอยากให้เป็น เขาสามารถทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อนได้ตลอดเวลาเมื่ออยู่กับพ่อแม่และพี่น้องทุกคน
ซึ่งตัวเต๋าถือว่ามีความใกล้เคียงกับผมมากเลยนะครับ เพราะเวลาเขียนบทให้นักแสดงใหม่ พี่ๆ จะมารีเสิร์ชชีวิตของพวกเราก่อน เพื่อให้บทเรื่องแรกออกมาใกล้เคียงกับตัวจริงมากที่สุด เราจะได้เข้าถึงบทได้ง่าย และไม่เกร็งจนเกินไป
ความคิดว่าอยากทำงานวงการบันเทิงในชีวิตจริงของเติร์ดเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
เริ่มต้นตั้งแต่เด็กๆ ที่ผมชอบดูทีวี เห็นนักร้อง นักแสดง ศิลปินคนไหนก็คิดว่าเขาเป็นไอดอลของเราหมด โดยเฉพาะกอล์ฟ-ไมค์ (พิชญะ และพิรัชต์ นิธิไพศาลกุล) ผมชอบมาก อยากเป็นแบบนั้น แล้วพอ 7 ขวบ ที่บ้านก็เริ่มพาไปถ่ายโฆษณา แล้วก็อยู่ยาวมาตลอดจนอายุ 12 ที่ได้ไปเป็นศิลปินฝึกหัดของค่ายกามิกาเซ่ ที่ได้เริ่มลุยกับความฝันการเป็นศิลปินอย่างเต็มตัวอีกครั้ง หลังจากได้แค่คิดอย่างเดียวอยู่นาน
แต่พอผ่านไป 4-5 ปีที่หมดสัญญากับกามิกาเซ่ ผมก็ห่างหายจากความฝันไปอีก กลับไปตั้งใจเรียน ใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยทั่วไป จริงๆ ตอนนั้นยังมีความคิดอยากเป็นศิลปินอยู่นะครับ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จนวันหนึ่งทีมงานค่าย 4NOLOGUE โทร.มาให้ไปออดิชันโปรเจกต์ 9×9 แค่ได้ฟังสิ่งที่เขาตั้งใจทำให้เกิดขึ้นในโปรเจกต์นี้ แล้วรู้ว่า นี่คือสิ่งที่เราตั้งใจอยากทำมาตลอด ก็เลยตัดสินใจเอาแน่นอนแบบไม่ต้องคิดเลย
ช่วงที่ไม่ประสบความสำเร็จกับความฝันครั้งแรกเท่าที่ควร ทำลายความรักหรือความมั่นใจของเติร์ดไปมากขนาดไหน
ถ้าพูดถึงความรักในเรื่องการร้อง การเต้น ผมไม่เคยสูญเสียสิ่งนี้ไปนะครับ เพราะถึงจะไปเรียน ผมก็ยังคิดถึงเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ยอมรับว่าเรื่องความมั่นใจก็เสียไปพอสมควร เพราะคิดว่าเราก็ตั้งใจเต็มที่แล้วเหมือนกัน แต่เรื่องนี้ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะความมั่นใจเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ตลอด เมื่อเราได้อยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่เหมาะสม
อย่างตอนแรก แค่ได้ยินเขาโทร.มาชวนให้ไปออดิชันโปรเจกต์ 9×9 ความมั่นใจผมก็เริ่มกลับมาแล้ว ยิ่งได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งจริงๆ ได้ทำงานร่วมกับพี่ๆ เพื่อนๆ อีก 8 คน ก็ยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอนนี้เราไม่ได้เดินบนเส้นทางความฝันนี้คนเดียวอีกต่อไปแล้ว ยังมีคนอีก 8 คน ที่เหนื่อยไปพร้อมเรา สู้ไปพร้อมกัน และพร้อมที่จะช่วยฉุดกันขึ้นมาในวันที่เหนื่อย
ตอนนี้พวกเรา 9 คน สนิทกันมาก เจอหน้ากันทุกวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง พูดได้เลยว่า เหมือนกลายเป็นพี่น้อง บางคนเวลาออกไปทำงานหนักๆ แล้วอยากรีบกลับบ้านไปพักผ่อนกับครอบครัว แต่ของผมกลายเป็นว่า เวลาทำงานนี่แหละที่ได้กลับไปเจอกับครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งที่เราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่องในโลกจริงๆ
นอกจากความสนิทสนม มีความรู้สึกกดดันและแข่งขันกันระหว่างสมาชิกแต่ละคนในโปรเจกต์ 9×9 มากขนาดไหน
ไม่ได้รู้สึกกดดันในแง่ที่ว่าทุกคนต้องแข่งขันกันเพื่อเป็นที่หนึ่ง แต่จะมีกดดันบ้างในช่วงแรกๆ ที่เน้นเรื่องแอ็กติ้ง ที่พอถึงเวลาทดสอบแต่ละเดือน แล้วผมจะอยู่ในโซนท้ายตาราง เพราะไม่มีพื้นฐานการแสดงมาก่อนเลยจริงๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ยังพอมีพื้นฐานกันมาก่อนบ้าง ก็เลยต้องใช้เวลาเหมือนกันที่ต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมา จนตอนหลังๆ ที่เข้าคอร์สการร้อง การเต้น ที่คะแนนเริ่มขยับขึ้นมาบ้าง ก็สวนทางกับคนอื่นๆ ที่บางคนก็ไม่มีพื้นฐานเรื่องพวกนี้มาก่อนเหมือนกัน ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องดีของโปรเจกต์นี้นะครับ มันแสดงให้เห็นว่าพวกเราคือคนธรรมดาที่ไม่ได้เพอร์เฟกต์มาตั้งแต่แรก ทุกคนมีจุดที่ต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เราจะค่อยๆ เติบโต และช่วยกันเสริมจุดแข็ง กลบจุดอ่อนให้กันและกัน
รู้สึกอย่างไรบ้างกับการเป็นคนที่แทบไม่มีพื้นฐานการแสดงมาก่อน แต่ต้องเข้าฉากกับนักแสดงรุ่นใหญ่หลายๆ คน
อันนี้แหละครับที่กดดันของจริง (หัวเราะ) แต่ถือว่าเป็นความกดดันที่ดี เพราะเวลาเจอนักแสดงที่เขามีประสบการณ์ด้านนี้มาทั้งชีวิต เขาจะช่วยส่งพลังให้เราเล่นในแต่ละซีนได้ง่ายมากขึ้น หรือบางครั้งเวลาสั่งคัตซีน เขาก็ช่วยให้คำแนะนำอยู่เสมอ เหมือนเราได้เข้าคลาสแอ็กติ้งเพิ่มเติมตลอดเวลา แล้วมันเป็นคลาสที่ได้ทำจริง ในสถานการณ์จริง กับคนที่มีประสบการณ์มากจริงๆ ผมว่าเป็นความกดดันที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเลยเหมือนกัน
ทุกวันนี้เวลาแนะนำตัวกับคนอื่น เติร์ดจะบอกว่าตอนนี้กำลังทำอาชีพอะไรอยู่
ไม่ใช่นักร้อง ไม่ใช่นักแสดง แต่เป็นศิลปิน ผมอยากใช้คำนี้นะ เพราะคิดว่าสิ่งที่พวกเรากำลังทำกันอยู่คือ งานศิลปะ ที่มอบความสุขให้กับทุกคน แล้วถ้าเป็นแบบนั้นได้ แค่การร้อง การแสดง อย่างใดอย่างหนึ่งไม่พอ แต่เราจะต้องทำได้ทุกอย่าง เพื่อสร้างงานศิลปะออกมาให้ได้ทุกรูปแบบอย่างดีที่สุด คิดว่าเป็นความตั้งใจตรงนี้ด้วยครับ ที่ผลักดันให้พวกเราทุกคนต้องซ้อมกันหนักมากมาตลอด
ซึ่งมันหนักมากจริงๆ นะครับ ตอนอยู่ค่ายเก่า ผมซ้อมวันละ 3-4 ชั่วโมง ก็คิดว่าหนักแล้ว แต่ในโปรเจกต์ 9×9 คือซ้อมทุกวัน วันละ 10 ชั่วโมง เดือนหนึ่งอาจจะมีหยุดสักวันหนึ่ง และถ้าวันไหนไม่มีเรียนหนังสือ ก็คือซ้อมวนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 10 โมง ไปถึง 4-5 ทุ่ม บางวันก็ลากไปถึงตีสอง แล้วอย่างที่บอกว่ามันเป็นแบบนี้ติดต่อกันมา 1 ปีครึ่งแล้ว เลยทำให้ทุกคนเป็นเหมือนครอบครัวกันจริงๆ
ซ้อมหนักมาตลอด 1 ปีครึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นเราแทบไม่เคยเห็นผลงานของสมาชิกโปรเจกต์ 9×9 เท่าไรเลย ระหว่างนั้นเคยรู้สึกท้อ หรือต้องมาตั้งคำถามกันบ้างไหม ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
มีท้อบ้างเป็นเรื่องปกตินะครับ แต่ก็ยังพยายามอย่างหนักกันมาตลอด เพราะคิดว่าอาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะต้องออกมาดีแน่นอน มันจะมีช่วงที่คนถามกันว่า 9×9 คืออะไร แล้วผมตอบเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้ที่ผลงานทั้งรายการ Into the Light กับ เลือดข้นคนจาง ออกอากาศ คือสิ่งที่สามารถตอบคำถามพวกนั้นได้หมดเลย จากผลงานที่พวกเราทุ่มเทกันมาตลอด โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- ละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 20.45 น. และวันเสาร์ เวลา 20.10 น. ทางช่อง one31
- Into the Light คือรายการพิเศษ ที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นความสามารถ ทั้งร้อง เต้น และแสดง รวมทั้งการพูดคุยแบบเจาะลึกกับสมาชิกโปรเจกต์ 9×9 ทั้ง 9 คน สามารถรับชมได้ทาง LINE TV