Laal Singh Chaddha คือภาพยนตร์อินเดียที่ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง Forrest Gump (1994) ของผู้กำกับ Robert Zemeckis โดยได้ Aamir Khan นักแสดงระดับแถวหน้าของบอลลีวูดจาก 3 Idiots (2009) มาสวมบทชายหนุ่มธรรมดานาม Laal หรือ Forrest Gump ในฉบับของ Tom Hanks พร้อมด้วย Kareena Kapoor จาก 3 Idiots มาสวมบทเป็น Rupa หรือ Jenny ในฉบับของ Robin Wright
ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของ Laal (Aamir Khan) เด็กหนุ่มที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติทางสมอง และร่างกายที่ไม่แข็งแรงเท่าไรนัก แต่เขาก็ได้รับการดูแลจากแม่เป็นอย่างดี เสมือนว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เติบโตขึ้น และได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ได้ตกหลุมรัก การรับราชการเพื่อเข้าร่วมต่อสู้ในสงคราม การได้พบเจอกับบุคคลสำคัญในประวัติศาตร์ หรือการออกวิ่งเพื่อเยียวยาจิตใจ
ชื่อของ Forrest Gump น่าจะเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่จะต้องติดหนึ่งในลิสต์ภาพยนตร์ในดวงใจของผู้ชมหลายๆ คนอย่างแน่นอน ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่ผู้กำกับ Robert Zemeckis ตีความจากนิยายต้นฉบับของ Winston Groom มานำเสนอเป็นภาพเคลื่อนไหวได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Tom Hanks ดนตรีประกอบสุดไพเราะจากฝีมือของ Alan Silvestri การสอดแทรกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอเมริกาเป็นฉากหลังของเรื่อง ไปจนถึงฉาก ‘วิ่ง’ สุดไอคอนิกที่ยังคงตราตรึงใจผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นแล้ว โจทย์สำคัญของผู้กำกับ Advait Chandan และทีมสร้างคือ พวกเขาจะนำเสนอเรื่องราวของ Forrest Gump ฉบับอินเดียออกมาอย่างไร โดยที่ยังต้องคงเอกลักษณ์ของภาพยนตร์ต้นฉบับ (ซึ่งเต็มไปด้วยฉากไอคอนิกมากมาย) รวมถึงจะดัดแปลงเนื้อหาให้เข้ากับบริบท และวัฒนธรรมของอินเดียอย่างไร
และหลังจากที่เราได้ชมภาพยนตร์จบ สิ่งแรกที่เราอยากชื่นชมคือ ผู้กำกับและทีมสร้างค่อนข้างนำเสนอเรื่องราวของ Laal Singh Chaddha ด้วยความเคารพต้นฉบับของผู้กำกับ Robert Zemeckis ชนิดเก็บทุกรายละเอียด กล่าวคือเนื้อหาโดยรวมของภาพยนตร์จะยังคงใช้โครงเรื่องเดิมของ Forrest Gump ที่เราเคยชมกันมาแล้ว ทั้งเรื่องราวชีวิตของ Laal ในวัยเด็กที่ต้องสวมใส่ขาเหล็ก ช่วงเวลาที่เขาได้เป็นนักวิ่งประจำมหาวิทยาลัย ช่วงเวลาที่เขาต้องออกไปรบและได้เจอกับเพื่อนสนิทอย่าง Bala (Naga Chaitanya Akkineni) ฯลฯ
ซึ่งผู้กำกับและทีมสร้างก็ยังคงรักษามนตร์เสน่ห์ของ Forrest Gump ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งไดอะล็อกอันเป็นที่จดจำอย่าง “วิ่ง Laal วิ่ง” หรือ “ถึงผมจะโง่ แต่ผมก็รู้ว่ารักคืออะไร” ไปจนถึงฉากสุดไอคอนิกอีกมากมาย เช่น ฉากการวิ่งแข่งในรั้วมหาวิทยาลัยของ Laal ที่มีการเซ็ตบรรยากาศของฉาก การเลือกใช้มุมกล้อง รวมถึงจังหวะการเล่าเรื่องแบบเดียวกับที่เวอร์ชันต้นฉบับเคยใช้
ขณะเดียวกัน ผู้กำกับและทีมสร้างก็มีการปรับเปลี่ยนบริบทหลายๆ ส่วนของภาพยนตร์ให้เข้ากับบริบทและวัฒนธรรมของอินเดียได้อย่างมีเสน่ห์ ยกตัวอย่างเช่น ฉากเปิดเรื่องใน Forrest Gump ที่กำลังนั่งรอรถประจำทางอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง พร้อมกับกล่องช็อกโกแลต ขณะที่ Laal Singh Chaddha ได้ปรับเปลี่ยนฉากนี้เป็นให้ตัวละครหลักอย่าง Laal กำลังนั่งอยู่บนขบวนรถไฟแห่งหนึ่ง พร้อมกับกล่องใส่ขนมปานีปูรี หนึ่งในขนมขึ้นชื่อของอินเดีย ซึ่งสอดคล้องกับบริบทของอินเดีย ที่ผู้คนมักจะนั่งรถไฟในการเดินทางเป็นหลัก รวมถึงการหยิบเหตุการณ์ทางประวัติศาตร์ของอินเดียมาใช้เป็นฉากหลัง เช่น เหตุการณ์ลอบสังหารนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี ที่เกิดขึ้นในปี 1984
ซึ่งการปรับเปลี่ยนบริบทและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เอง ที่เข้ามาเสริมให้เรื่องราวของภาพยนตร์มีความแปลกใหม่ และชักชวนให้ผู้ชมที่ทราบเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ได้เฝ้าติดตามต่อว่าเส้นทางชีวิตของ Laal จะต้องพบเจอกับอะไรอีกบ้าง
โดยหนึ่งในการปรับเปลี่ยนที่เราชื่นชอบมากๆ คือการใส่เพลงประกอบเข้ามาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของภาพยนตร์ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของภาพยนตร์บอลลีวูด ซึ่งทั้งเนื้อหาของเพลงและสไตล์ดนตรีที่ถูกแต่งขึ้นมา ก็ช่วยเสริมให้เนื้อหาของภาพยนตร์มีความลึกซึ้ง และน่าประทับใจมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจริงๆ
ในภาพรวมแล้ว Laal Singh Chaddha ถือเป็นผลงานที่เราสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ และความเคารพต่อผลงานต้นฉบับของผู้กำกับและทีมสร้างอย่างแจ่มชัด พร้อมกันนั้นพวกเขาก็สามารถปรับเปลี่ยนองค์ประกอบหลายๆ ส่วนของเรื่องให้เข้ากับบริบท และวัฒนธรรมอินเดียออกมาได้อย่างลงตัวมากๆ และยังชวนให้เราติดตามเรื่องราวไปได้ตลอดทั้งเรื่อง แม้จะรู้บทสรุปของภาพยนตร์อยู่แล้วก็ตาม
Laal Singh Chaddha มีกำหนดฉายวันที่ 1 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่