เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 บมจ.ธนาคารกรุงไทย (KTB) รายงานกำไรสุทธิ 2Q66 อยู่ที่ 1.02 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1%QoQ และ 22%YoY) สูงกว่าคาด หลักๆ เกิดจาก NIM ที่มากกว่าคาด ผลประกอบการ 2Q66 สะท้อนถึง Credit Cost ที่ทรงตัว, สินเชื่อที่หดตัวลง, NIM ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น, Non-NII ที่ลดลง QoQ และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง
รายการสำคัญ ได้แก่:
- คุณภาพสินทรัพย์: NPL ลดลง 2%QoQ (เพิ่มขึ้น 17% ถ้านำยอดตัดหนี้สูญบวกกลับเข้ามา ซึ่งบ่งชี้ถึง NPL ไหลเข้าเพิ่มขึ้น) ธนาคารมีการตัดหนี้สูญเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 883 ล้านบาทใน 1Q66 สู่ 2.1 หมื่นล้านบาทใน 2Q66 Credit Cost ลดลง 5 bps QoQ (เพิ่มขึ้น 35 bps YoY) สู่ 1.2% เทียบกับประมาณการปี 2566 ที่ 1.25% LLR coverage ลดลงจาก 177% ณ 1Q66 สู่ 171%
- การเติบโตของสินเชื่อ: ลดลง 0.2%QoQ, ลดลง 2.2%YoY, ลดลง 0.6%YTD การเติบโตของสินเชื่อแยกตามกลุ่ม: สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง 1.2%QoQ, ลดลง 1.2%YoY, ลดลง 1.2%YTD; สินเชื่อภาครัฐเพิ่มขึ้น 0.9%QoQ, ลดลง 17.6%YoY, ลดลง 2.1%YTD; สินเชื่อ SMEs ลดลง 4.7%QoQ, ลดลง 8.9%YoY, ลดลง 6.3% QoQ; สินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้น 1.4%QoQ, เพิ่มขึ้น 6.7%QoQ, เพิ่มขึ้น 2.1%YTD ทั้งนี้ ยังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อปี 2566 ไว้ที่ 1%
- NIM: ดีกว่าคาด โดยเพิ่มขึ้น 24 bps QoQ โดยเกิดจากผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น 31 bps QoQ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 8 bps ส่วนปี 2566 ปรับประมาณการ NIM เพิ่มขึ้น 20 bps สู่ 3.36% (เพิ่มขึ้น 65 bps)
- Non-NII: ลดลง 16%QoQ (เพิ่มขึ้น 5%YoY) โดยเกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ (ลดลง 7%QoQ, ลดลง 2%YoY) และกำไรจากเครื่องมือทางการเงิน (ลดลง 36%QoQ, เพิ่มขึ้น 58%YoY) ที่อ่อนแอลง
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้: ลดลง 55 bps QoQ และลดลง 293 bps YoY สู่ 38.35% เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า OpEx (เพิ่มขึ้น 3%QoQ, เพิ่มขึ้น 12%YoY)
กระทบอย่างไร:
วันที่ 24 กรกฎาคม 2566 ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น KTB ปรับลดลง 0.50%DoD อยู่ที่ระดับ 20.10 บาท ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.12%DoD สู่ระดับ 1,531.01 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้น 15% หลักๆ เกิดจากการปรับประมาณการ NIM เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันคาดว่ากำไรปี 2566 จะเติบโต 21% กำไร 1H66 คิดเป็น 50% ของประมาณการกำไรเต็มปี และคาดว่ากำไร 2H66 จะอยู่ในระดับทรงตัว HoH เนื่องจากคาดว่า NII ที่เพิ่มขึ้น (จาก NIM ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น) จะถูกหักล้างโดยการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นและ OpEx ที่สูงขึ้น รวมถึงกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ที่ลดลง สำหรับ 3Q66 คาดว่ากำไรจะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง YoY
กลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ KTB ด้วยราคาเป้าหมายที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 21 บาท สู่ 25 บาทต่อหุ้น (PBV 0.8 เท่า หรือ P/E 8.2 เท่า สำหรับปี 2567) เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นและการปรับปีฐานที่ใช้ประเมินมูลค่าเป็นปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจาก Valuation ที่น่าสนใจ Upside ต่อ NIM จากแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นสู่ 2.5% และความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำ
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว, การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง และ Non-NII ได้รับแรงกดดันจากตลาดทุนที่ผันผวนและแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น