วันนี้ (10 มกราคม) ประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด กล่าวถึงโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน ว่าข้อเท็จจริงในโครงการนี้ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการท่อร้อยสายสื่อสารลงใต้ดิน ที่เริ่มมาในสมัยของ พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัทดำเนินการเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 โดยเมื่อครบ 33 ปี ให้กรรมสิทธิ์ท่อร้อยสายใต้ดินตกเป็นของกรุงเทพมหานคร (กทม.)
ต่อมาเมื่อบอร์ดชุดปัจจุบันเข้ามาทำหน้าที่ในเดือนมิถุนายน 2565 ได้ตรวจสอบพบความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินโครงการ คือบริษัทได้ทำการลงนามสัญญาวิศวกรรม จัดหา ก่อสร้าง (Engineering Procurement Construction: EPC) จำนวน 4 ฉบับกับบริษัทก่อสร้างเอกชน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 และต่อมาในวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 บอร์ดบริษัทมีมติเชิญบริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด มาเจรจาเพื่อเข้าทำสัญญาเป็นผู้ใช้บริการรายใหญ่ 80% ของท่อ โดยต้องจ่ายค่าใช้บริการท่อร้อยสายล่วงหน้าเป็นจำนวนเงิน 13,500 ล้านบาท ซึ่งต่อมาไม่บรรลุข้อตกลง คู่เจรจาก็ได้มีหนังสือขอหลักประกันคืนไป
ประแสงกล่าวต่อไปว่า จากข้อเท็จจริงข้างต้น เมื่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 (มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2562) กำหนดให้บริษัทเป็นหน่วยงานของรัฐประเภทรัฐวิสาหกิจ และเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. ดังกล่าว เช่น การจัดทำโครงการ การเสนอโครงการ การคัดเลือกเอกชน
ซึ่งมีผู้ร้องเรียนประเด็นนี้ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ผู้บริหารบริษัทชุดในอดีตก็ยังดำเนินการก่อสร้างไปตามสัญญา EPC 4 สัญญาที่ลงนามเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ต่อไป แม้จะไม่มีผู้ใช้บริการรายใหญ่มาร่วมลงทุน และไม่ดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
ต่อมาวันที่ 20 มกราคม 2565 บอร์ดบริษัทยังได้อนุมัติโครงการก่อสร้างต่อเนื่องกับโครงการท่อร้อยสายสื่อสารนี้อีก คือการติดตั้งเสาไฟและโคมไฟส่องสว่างพร้อมระบบแพลตฟอร์ม เส้นทางถนนพระรามที่ 1 โดยทำสัญญาว่าจ้างบริษัทก่อสร้างเอกชนเข้ามาก่อสร้าง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดแก่บริษัท
“หลังจากที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันได้เข้ามาบริหารงานและพบความผิดปกติต่างๆ ในช่วงปลายปี 2565 จึงได้ดำเนินการสอบสวนและไล่ออกพนักงานจำนวนหนึ่งโดยความผิดทางวินัยร้ายแรงแล้ว ดังนั้นจึงต้องดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจำนวนประมาณ 200 ล้านบาทจากผู้เกี่ยวข้องที่สร้างความเสียหายแก่บริษัท ซึ่งค่าใช้จ่ายโครงการก็มาจากภาษีอากรของ กทม. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเช่นกัน” ประแสงกล่าว
ประแสงกล่าวต่ออีกว่า สำหรับคดีอาญานั้น ป.ป.ช. กำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ตามข้อร้องเรียนที่มีอยู่เดิมในอดีต และได้เชิญตนในฐานะกรรมการผู้อำนวยการของบริษัทไปให้ปากคำ พร้อมทั้งชี้แจงแสดงเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565
โดยบริษัทพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานตรวจสอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน เพื่อให้การทำงานของบริษัทภายใต้การนำของผู้บริหารชุดใหม่เป็นไปด้วยความโปร่งใส สุจริตทุกโครงการ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาและความเสียหายต่อบริษัท และ กทม. ดังเช่นที่ผ่านมา