หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่ติดตามข่าวสารต่างประเทศโดยเฉพาะในแวดวงนวัตกรรม เทคโนโลยีจีนอยู่เป็นประจำ ก็น่าจะคุ้นหูและผ่านตาชื่อของ Xiaomi และ BYD เป็นแน่
รายแรกไม่ต้องสาธยายให้มากความ เพราะนี่คือหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่น่าจะมีสาวกและผู้ใช้งานมากที่สุดแห่งหนึ่ง บางทีหากลองหมุนมองรอบตัว คุณอาจจะพบว่าบ้านหรือที่พักของตัวเองอาจมีสินค้า ผลิตภัณฑ์ของ Xiaomi อย่างน้อยหนึ่งชิ้น ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ Smart Home หรือแก็ดเจ็ตเจ๋งๆ ตั้งตระหง่านอยู่ก็เป็นไปได้
ปัจจุบัน Xiaomi มีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงถึงราว 26% (อ้างอิงจากรายได้ปี 2019-2021) และมียอดขายสมาร์ทโฟนเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2021 คือ 191.2 ล้านเครื่อง เติบโตจากปีก่อนหน้า 28% สูงกว่ายอดขายเฉลี่ยของแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาดที่โตเฉลี่ย 7%
ขณะที่ BYD หรือ BYD Company Limited บริษัทผู้ผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีแบตเตอรี่จากประเทศจีน ก็นับเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เพราะปัจจัยความตื่นรู้จากผู้ใช้งานทั่วโลกที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับรถ EV มากขึ้นเพียงอย่างเดียว เพราะ BYD เพิ่งจะประกาศศักดาเป็น Top 3 เจ้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน และกลายเป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์พลังงานทางเลือกลำดับต้นๆ ของโลกเป็นที่เรียบร้อย
การันตีด้วยยอดขายรถยนต์พลังงานทางเลือก (New Energy Vehicles (NEVs) นับรวม BEV และ PHEV) ในช่วงครึ่งปีแรก 2022 ที่ผ่านมาที่ 647,914 คัน ซึ่งสูงกว่า Tesla ซึ่งเป็นเจ้าตลาดโลกมียอดขายรวมที่ 564,743 คัน (แต่ Tesla จำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV หรือ BEV แบบ 100% ล้วน)
เท่านั้นยังไม่พอ ชื่อชั้นและศักยภาพของ BYD ยังการันตีได้ด้วยการที่นักลงทุนระดับตำนานอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังได้เข้าลงทุนใน BYD เป็นรายแรกๆ ผ่าน Berkshire Hathaway ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่บัฟเฟตต์มีต่อ BYD ในระยะยาวได้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกันกับ SCG ยักษ์ในตลาดหุ้นไทยที่ได้ประกาศความร่วมมือกับ BYD ตั้งแต่ปี 2562 เพื่อมองถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าร่วมกัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นว่า Xiaomi และ BYD มีอิทธิพลและศักยภาพมากเพียงใด โดยเฉพาะการที่บริษัทเทคโนโลยีทั้งสองแห่งนี้ไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรมแห่งอนาคตป้อนเข้าสู่ท้องตลาดเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกกับชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คน ผู้ใช้งาน อยู่ตลอดเวลา
ไม่เพียงแค่นั้น เพราะทั้ง Xiaomi และ BYD ต่างก็เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มีการวัดผลการดำเนินงานและผ่านเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเทรนด์อนาคตที่บริษัทหลายแห่งต่างก็กำลังมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตาม
แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ ถ้าผู้บริโภค ผู้ใช้งาน หรือสาวกอย่างเรา ไม่ได้อยากเป็นแค่ผู้ใช้งานอีกต่อไป แต่อยากเข้าลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ด้วยมองเห็นถึงโอกาสและศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในอนาคต จะมีช่องทางไหนบ้างที่ช่วยตอบสนองความต้องการให้เราได้อย่างตรงจุด น่าเชื่อถือ
เข้าลงทุนใน Xiaomi และ BYD ผ่านช่องทางที่สะดวกสบาย
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจในการลงทุนผ่าน Xiaomi และ BYD ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในประเทศจีน และจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) สามารถเข้าลงทุนในหุ้นผู้นำเทคทั้งสองตัวดังกล่าวได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ยุ่งยาก ‘ธนาคารกรุงไทย’ จึงได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนทุกราย สามารถเข้าลงทุนได้ง่ายผ่านรูปแบบของ DR หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ
โดยผู้ที่สนใจจะลงทุนในหลักทรัพย์ DR XIAOMI80 และ BYDCOM80 สามารถซื้อขายได้ผ่าน SET โดยตรง (Streaming by Settrade) ซึ่งจะประเดิมให้เทรดได้ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคมนี้ โดยไม่ต้องจองซื้อล่วงหน้าให้ยุ่งยาก
นั่นหมายความว่า ถึงแม้เราจะเป็นนักลงทุนสัญชาติไทย ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ยังไม่สะดวกใจที่จะเปิดพอร์ตต่างประเทศ แต่อยากลองเริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริษัทเทค เราก็สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ผ่านการลงทุนใน DR รูปแบบนี้ แถมยังสะดวกด้วยเพราะสามารถลงทุนผ่านสกุลเงินบาทได้ทันที ไม่วุ่นวาย (กำหนดการซื้อขายขั้นต่ำที่ 1 หน่วย)
สำหรับการเปิดให้เทรด Xiaomi DR และ BYD DR ในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จก่อนหน้านี้ของกรุงไทย หลังจากที่พวกเขาเคยเสนอขายตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศของ บริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (ALIBABA DR) และ บริษัท เทนเซ็นต์ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด จำกัด (TENCENT DR) และได้รับเสียงตอบรับที่ดีเกินคาด
ดังนั้นการออกและเสนอขาย XIAOMI DR (XIAOMI80) และ BYD DR (BYDCOM80) ในครั้งนี้ จึงถือเป็นการตอกย้ำเป้าหมายของธนาคารกรุงไทยที่มุ่งหวังจะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนและตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร
ทั้งความต้องการในด้านการออมและการลงทุนโดยทำลายทุกข้อจำกัด และในขณะเดียวกันก็ยังส่งเสริมโอกาสการลงทุนของนักลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะรายย่อยให้สามารถเข้าถึงการลงทุนที่หลากหลายได้อย่างอิสระและสะดวกสบาย
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน สำหรับนักลงทุนที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ Krungthai Contact Center โทร. 0 2111 1111 หรือที่ https://krungthai.com/link/dr-xiaomi80-website-the-standard และ https://krungthai.com/link/dr-bydcom80-website-the-standard
อ้างอิง:
- การลงทุนในรูปแบบ DR (Depositary Receipt) หรือการลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้อย่างสะดวกสบาย ช่วยลดข้อจำกัดในประเด็นความยุ่งยากของการเปิดพอร์ตเทรดหุ้นต่างประเทศ
- DR หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นเลย
- ธนาคารกรุงไทย ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ให้เป็นหนึ่งในผู้ออก DR ทำการซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศ และเก็บไว้กับผู้ดูแลและเก็บรักษาหลักทรัพย์ที่ต่างประเทศ แล้วออก DR เสนอขายให้นักลงทุนในรูปแบบสกุลเงินบาทผ่าน SET