×

กรุงไทย ประเมินขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกระทบต้นทุนผู้ผลิตและเงินเฟ้อไม่มาก คาดกระตุ้นการบริโภคช่วยหนุน GDP ชดเชยได้

19.09.2022
  • LOADING...
กรุงไทย

กรุงไทยประเมินการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิตปรับตัวขึ้นประมาณ 0.69-1.01% ขณะที่เงินเฟ้ออาจสูงขึ้น 0.13-0.20% ในปี 2023 แต่ไม่กระทบ GDP เนื่องจากผลสุทธิได้รับการชดเชยด้วยปัจจัยบวกจากผลทางรายได้ที่เพิ่มขึ้น

 

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในการประชุมวันที่ 13 กันยายน 2022 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2022 ถือเป็นการปรับค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี หลังจากประกาศครั้งล่าสุดที่มีผลเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2020 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการแพร่ระบาดของโควิด โดยเป็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ 8-22 บาทต่อวัน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นในช่วง 4.5-6.6%


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


หากเทียบกับการปรับค่าแรงขึ้นต่ำครั้งก่อนหน้า การปรับรอบนี้ถือเป็นการปรับขึ้นสูงสุดในช่วงเกือบสิบปีนับตั้งแต่การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันเมื่อปี 2012 แต่การปรับในครั้งนั้นถือเป็นการปรับแบบก้าวกระโดดที่ส่งผลให้ค่าจ้างที่เป็นตัวเงินเพิ่มถึง 39.5% ขณะที่การปรับอีก 2 ครั้งในปี 2017 และ 2018 จะปรับขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า 5% 

สำหรับปัจจัยที่หนุนให้ค่าตอบแทนแรงงานเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2021 คือ การทยอยฟื้นตัวของตลาดแรงงาน หลังจากที่ต้องเผชิญปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดในช่วงปี 2020-2021 ที่ส่งผลให้อัตราการว่างงานแตะระดับ 2.2% เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 สูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินทั่วโลกเมื่อปี 2008 (แต่ยังน้อยกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 1997 ที่แตะระดับสูงถึง 5%) ทั้งนี้ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งอานิสงส์จากการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัวผ่านระบบ Thailand Pass เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 หนุนให้ภาคการจ้างงานปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ

 

โดยการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานล่าสุดเดือนมิถุนายน 2022 กลับมาอยู่ในระดับที่เกือบเท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาด ส่วนอัตราการว่างงานล่าสุดเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับตัวเลขต่ำสุดหลังการแพร่ระบาดเมื่อเดือนมีนาคม 2022 ตลาดแรงงานจึงกำลังทยอยปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการกำลังคนเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว ขณะที่ลูกจ้างซึ่งส่วนหนึ่งเคยประสบปัญหาถูกเลิกจ้างหรือพักงานในช่วงการแพร่ระบาดได้เริ่มกลับไปทำงาน 

 

Krungthai COMPASS มองว่า พัฒนาการที่ตีขึ้นของตลาดแรงงานดังกล่าวถือเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นค่าแรง การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจึงเป็นตอกย้ำถึงแรงกดดันในการปรับเพิ่มค่าแรง ซึ่งได้ทยอยเพิ่มขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว

 

ทั้งนี้ หากประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในระยะที่ผ่านมา ข้อมูลเชิงประจักษ์บ่งชี้ว่าการปรับขึ้นค่าจ้างมีบทบาทในการลดอัตราส่วนแรงงานที่มีฐานะยากจนลง หลังการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแบบก้าวกระโดดในปี 2012 นั้น สัดส่วนผู้มีงานทำที่ยากจน ซึ่งเป็นแรงงานที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าเส้นความยากจน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยทยอยปรับลงจากสัดส่วนถึง 12.2% ในปี 2011 ก่อนการปรับค่าจ้าง มาสู่ระดับตัวเลขหลักเดียวที่ 9.6% ในปี 2014 ขณะที่การปรับค่าจ้างในช่วงปี 2017-2018 ยังส่งผลให้สัดส่วนแรงงานยากจนปรับตัวลงสู่ 5.4% ในปี 2019

 

แม้ว่าปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของโควิดจะเป็นผลให้สัดส่วนแรงงานยากจนขยับขึ้นแตะ 5.8% ในปี 2020 ก็ตาม แต่แนวโน้มการปรับตัวลงของสัดส่วนผู้มีงานทำที่ยากจนในช่วงกว่า 10 ปีนี้ สะท้อนผลเชิงบวกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งช่วยลดการแสวงประโยชน์จากแรงงานที่มีทักษะต่ำ ทั้งยังลดสัดส่วนของแรงงานยากจนที่เปราะบางต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจลงได้ ขณะที่การฟื้นตัวล่าสุดของเศรษฐกิจไทยหลังสถานการณ์แพร่ระบาดคลี่คลายยังคงไม่ทั่วถึง การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจึงอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับรายได้ของแรงงาน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการปรับตัวของเศรษฐกิจให้กระจายตัวได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

 

Krungthai COMPASS ยังประเมินด้วยว่า การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลให้ค่าตอบแทนของแรงงานทั้งระบบปรับตัวเพิ่มจากเดิม และยังหนุนให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย เมื่อเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของค่าจ้างที่เป็นตัวเงินโดยเฉลี่ยต่อเดือนกับการบริโภคภาคเอกชนย้อนหลังในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า การบริโภคมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการปรับตัวสูงขึ้นของค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ย 

 

โดยคาดว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 4.5-6.6% จะส่งผลให้รายได้จากค่าจ้างที่เป็นตัวเงินโดยเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นประมาณ 0.36-0.53% และสามารถกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนได้ประมาณ 0.27-0.39% ในปี 2022 

 

มาตรการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่จะมีผลในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะหนุนการบริโภค ทั้งยังจะช่วยเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและขับเคลื่อนการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

 

อย่างไรก็ดี ในทางกลับกันรายจ่ายค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบด้านต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ ประกอบกับแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่เพิ่มอาจดึงเงินเฟ้อขึ้น สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ประกอบการนั้น คาดว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะกระทบต่อภาคการผลิตที่พึ่งพาแรงงานค่าจ้างต่ำ และมีภาระรายจ่ายค่าจ้างต่อต้นทุนในสัดส่วนที่สูง การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลให้กิจการเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น

 

สำหรับการปรับเพิ่มค่าตอบแทนแก่กลุ่มแรงงานที่ขาดทักษะและได้รับเงินค่าจ้างต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม รับจ้างทั่วไป บริการงานบ้าน ก่อสร้าง และโรงแรมนั้น Krungthai COMPASS ประเมินว่า ผู้ประกอบการจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 4.7-5.1 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 0.29-0.32% ของ GDP

  

ส่วนผลกระทบในภาพกว้าง ซึ่งได้ประเมินทั้งปัจจัยบวกจากผลทางรายได้ที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะหนุนการบริโภค และปัจจัยลบจากการขึ้นค่าจ้างที่มีต่อต้นทุนการผลิต และอาจกดดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น โดย Krungthai COMPASS คาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำประมาณ 8-22 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ของประเทศ โดยปรับจากเดิมที่อยู่ในช่วง 313-328 บาทต่อวัน เป็น 336-354 บาทต่อวัน ซึ่งจะส่งผลให้ค่าจ้างปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 4.5-6.6% จะส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 0.17-0.25% และกระทบต่อเงินเฟ้อประมาณ 0.03-0.04% ในปี 2022 

 

ขณะที่ในปีหน้าคาดว่าดัชนีราคาผู้ผลิตจะปรับตัวขึ้นประมาณ 0.69-1.01% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.13-0.20% ทั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อ GDP ไม่มากนัก เนื่องจากปัจจัยลบจะถูกชดเชยด้วยปัจจัยบวกจากผลทางรายได้ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มค่าจ้างอาจหนุนการปรับโครงสร้างในตลาดแรงงาน โดยจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มแรงงานที่ขาดทักษะกับกลุ่มแรงงานมีฝีมือและแรงงานวิชาชีพในระยะยาว และสนับสนุนให้แต่ละภาคส่วนได้รับผลพวงจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

โดยสรุป Krungthai COMPASS มีข้อเสนอแนะต่อผู้ประกอบการที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำว่า ควรใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ทั้งการยกระดับทักษะให้ดีขึ้นกว่าเดิม (Upskill) และการสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงาน (Reskill) ซึ่งจะเอื้อต่อสภาพการแข่งขันทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การปฏิรูปด้านดิจิทัล การพัฒนาทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์ การเพิ่มความสามารถของลูกจ้างดังกล่าวจะช่วยเพิ่มผลิตภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิต ยอดขาย ทั้งยังจะช่วยลดต้นทุนต่อหน่วย และชดเชยผลกระทบจากค่าจ้างที่สูงขึ้น 

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรปรับระบบการผลิตให้มีความยืดหยุ่นตามสภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญกับความผันผวนมากขึ้น ปรับลดขั้นตอนในการทำงานและใช้ระบบการผลิตที่กระชับ (Streamline) รวมถึงการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีกำลังแรงงานที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากยิ่งขึ้น

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X