บ่อยครั้งที่คำว่าความยั่งยืนถูกตีความในกรอบจำกัดเพียงแค่การดูแลสิ่งแวดล้อม การลดคาร์บอน หรือการใช้ถุงผ้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว นิยามของคำนี้กินความหมายกว้างกว่านั้นมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในระดับปัจเจกบุคคล รากฐานที่สำคัญที่สุดของการดำรงอยู่ไม่ได้เริ่มต้นที่ไหนไกล แต่เริ่มต้นที่ ‘ความมั่นคงทางการเงิน’
หากถอดรหัสคำว่ายั่งยืนในมิติของการใช้ชีวิต คือความสามารถในการยืนหยัดอยู่ได้ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับพายุเศรษฐกิจหรือความเปลี่ยนแปลงของสังคมรูปแบบใด ข้อมูลจากรายงาน Saving Behavior Survey: Decoding the Saving Habits of Thai Consumers 2025 โดยวิจัยกรุงศรี ได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจและชวนให้ขบคิดถึงทิศทางของคนไทยในปัจจุบัน
สัญญาณบวกที่เด่นชัดคือดัชนีชี้วัดทักษะทางการเงินของคนไทยที่ทะยานขึ้นไปแตะระดับ 71.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่าง OECD (60.5%) อย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าคนไทยมีความตื่นตัวและมีชุความรู้พื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะในมิติด้านทัศนคติทางการเงินที่ทำคะแนนได้สูงถึง 76.8% ตามมาด้วยพฤติกรรมและความรู้พื้นฐานที่อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ
ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันชัดเจนว่าสังคมไทยไม่ได้ขาดแคลนความรู้ คนส่วนใหญ่เข้าใจดีว่าดอกเบี้ยทำงานอย่างไร หรือความเสี่ยงคืออะไร แต่ภายใต้ตัวเลขนี้กลับมีรอยปริแยกบางอย่างซ่อนอยู่ เมื่อเจาะลึกในรายละเอียดจะพบว่า แม้ครัวเรือนไทยกว่า 87.5% จะมีพฤติกรรมการออมเงิน และส่วนใหญ่มีวินัยที่ดีโดยสามารถกันเงินได้ถึง 20-30% ของรายได้ต่อเดือนตามสูตรสำเร็จที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแนะนำ
ทว่าเงินออมส่วนใหญ่นั้นกลับกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงมากอย่างเงินสดหรือบัญชีเงินฝาก ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว นี่คือภาพสะท้อนของความกังวลและความไม่มั่นใจที่ทำให้เงินออมเติบโตไม่ทันกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
มายาคติของการวางแผนเกษียณกับความเป็นจริงที่สวนทาง
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดและถือเป็นโจทย์ใหญ่ระดับประเทศคือช่องว่างระหว่างความตั้งใจกับการลงมือทำ ข้อมูลระบุว่าประชากรไทยกว่า 61.1% มีแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุอยู่ในมือ และได้เริ่มออกสตาร์ทการออมเพื่อเป้าหมายดังกล่าวแล้ว
แต่เมื่อวัดผลลัพธ์ที่ปลายทาง กลับมีเพียง 15.7% เท่านั้นที่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้สำเร็จจนครบถ้วน ตัวเลขนี้คือสัญญาณเตือนที่บอกว่า ลำพังแค่ความตระหนักรู้อาจยังไม่ใช่อาวุธที่เพียงพอที่จะพาไปสู่ชีวิตที่ยั่งยืนได้จริง สาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ไม่ใช่เพราะขาดวินัย แต่เป็นเพราะบริบทการใช้ชีวิตที่ซับซ้อนขึ้น โจทย์ชีวิตที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัยทำให้สมการการเงินที่เคยใช้ได้ผลในอดีต อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปในปัจจุบัน
เมื่อลองเจาะลึกลงไปในอินไซต์ของคน 4 เจเนอเรชัน จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าทำไมการสร้างรากฐานทางการเงินถึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย และทำไมสูตรสำเร็จแบบเหมารวมถึงใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนอีกต่อไป
ถอดรหัสรหัสพันธุกรรมทางการเงินของคน 4 วัย
เริ่มกันที่คลื่นลูกใหม่อย่าง Gen Z (อายุ 20–30 ปี) กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งโรคระบาดและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ดีเอ็นเอของคนกลุ่มนี้ถูกตั้งโปรแกรมมาให้มองโลกตามความเป็นจริงและเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ความน่าสนใจของ Gen Z คือการตั้งเป้าหมายความสำเร็จในชีวิตไว้ค่อนข้างเร็ว โดยเฉลี่ยอยู่ที่อายุประมาณ 53 ปี ซึ่งเร็วกว่าคนรุ่นก่อนหน้ามาก
ด้วยเหตุนี้ คนกลุ่มนี้จึงกลายเป็นวัยที่ขยันหารายได้จากหลายช่องทางมากที่สุด โดยกว่า 38% มีแหล่งรายได้มากกว่า 2 ทางขึ้นไป การหารายได้หลายทางไม่ได้ทำไปเพื่อความฟุ้งเฟ้อ แต่เพื่อสร้างเบาะรองรับความเสี่ยง พร้อมกับมองหาความสมดุลระหว่างการทำงานหนักและการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) คนวัยนี้จึงให้ความสำคัญกับเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 3-6 เดือนและการลงทุนที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนไปพร้อมกัน
ขยับมาที่พี่รองอย่าง Gen Y (อายุ 30–40 ปี) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจและครอบครัว คนกลุ่มนี้กำลังอยู่ในช่วงวัยสร้างรากฐานที่มั่นคงที่สุด แต่ก็ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งที่สุดเช่นกัน ทั้งความคาดหวังจากครอบครัวและการสร้างทรัพย์สินเป็นของตัวเอง เป้าหมายของคน Gen Y มักผูกติดอยู่กับการมีบ้านเป็นของตัวเอง โดยตั้งเป้าไว้ที่อายุเฉลี่ย 31 ปี
เนื่องจากเป็นวัยที่มองการณ์ไกล คนกลุ่มนี้จึงมีความคาดหวังเรื่องเงินใช้หลังเกษียณสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทุกเจเนอเรชัน คือประมาณ 35,000 บาทต่อเดือน ตัวเลขความคาดหวังที่สูงลิ่วนี้เป็นแรงกดดันที่ทำให้ Gen Y ต้องวางแผนการเงินอย่างรัดกุม จึงเป็นกลุ่มที่เน้นการสร้างความคุ้มครองให้ครอบครัวผ่านประกันชีวิต และเลือกการลงทุนที่ปลอดภัยเพื่อรักษาเงินต้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในขณะที่ Gen X (อายุ 40–55 ปี) หรือกลุ่มที่ถูกขนานนามว่าเป็น Sandwich Generation กำลังเผชิญกับสภาวะแรงกดดันจากทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งต้องดูแลพ่อแม่ที่เข้าสู่วัยชรา และอีกด้านต้องส่งเสียลูกหลานที่กำลังเติบโต ทำให้ค่าใช้จ่ายของคนวัยนี้สูงรอบด้าน ทว่าภายใต้ความกดดัน Gen X กลับเป็นกลุ่มที่มีวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง
คนวัยนี้มุ่งเน้นการเร่งเครื่องปลดหนี้สินให้หมดก่อนวัยเกษียณ และพยายามสร้างรายได้แบบ Passive Income จากอสังหาริมทรัพย์หรือเงินปันผลเพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระ ข้อมูลชี้ว่าคนกลุ่มนี้จัดสรรเงินออมถึง 41% ของพอร์ตการลงทุนไว้สำหรับการเกษียณโดยเฉพาะ โดยเลือกใช้เครื่องมือที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่าง RMF หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นตัวช่วยสำคัญในการเตรียมตัวลงจากหลังเสืออย่างสง่างามที่อายุเฉลี่ย 59 ปี
สุดท้ายคือรุ่นใหญ่ลายครามอย่าง Baby Boomer (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ซึ่งปัจจุบันกำลังเปลี่ยนนิยามของคำว่าคนแก่ ให้กลายเป็น Active Aging หรือผู้สูงวัยที่ยังคงมีไฟและศักยภาพในการใช้ชีวิต ไม่ยอมปล่อยให้ร่างกายร่วงโรยไปตามกาลเวลา แม้จะเข้าสู่วัยเกษียณ แต่กว่า 32% ของคนกลุ่มนี้ยังคงทำงานและมีรายได้หลักจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
โจทย์ใหญ่ที่สุดของ Boomer จึงไม่ใช่การหาเงินเพิ่ม แต่เป็นการบริหารเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่ให้เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตที่อาจยาวนานถึง 20-25 ปีหลังหยุดทำงาน ความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเป็นสิ่งที่คนวัยนี้ให้ความสำคัญสูงสุด กลยุทธ์การเงินจึงเน้นไปที่การรักษาเงินต้น (Wealth Preservation) โดยเลือกฝากเงินในที่ที่ปลอดภัยที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินสดสำรองเพียงพอตลอดอายุขัย
เริ่มจาก ‘คนในบ้าน’ สู่รากฐานที่ยั่งยืนของสังคม
ความหลากหลายของปัญหาและเป้าหมายในแต่ละเจเนอเรชัน เป็นเครื่องยืนยันว่าการจะก้าวไปสู่ชีวิตที่ยั่งยืนได้นั้น ไม่สามารถมองแค่เปลือกนอก หรือลอกเลียนแบบวิธีการของผู้อื่นได้ แต่ต้องเริ่มจากการวางรากฐานทางการเงินที่สอดคล้องกับตนเอง แนวคิดนี้สอดรับกับวิสัยทัศน์ที่คุณมิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ ผู้บริหารสายงานบริหารแบรนด์และการตลาดองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้สะท้อนมุมมองไว้ว่า
“ความยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเรื่องที่ต้องรอ แต่คือการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว และลงมือทำ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยในปัจจุบันที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับรากฐาน หรือความรู้ทางการเงินมากยิ่งขึ้น”
สิ่งที่น่าสนใจคือ กรุงศรีไม่ได้เพียงแค่สื่อสารแนวคิดนี้ออกสู่ภายนอกเท่านั้น แต่ได้เริ่มลงมือขับเคลื่อนจากภายในองค์กร (Inside-Out) โดยมุ่งสร้าง ‘Sustainability DNA’ ให้เกิดขึ้นกับพนักงานทุกคน นอกเหนือจากกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างการลดขยะหรือประหยัดพลังงานแล้ว ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการปูพื้นฐานความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ให้กับพนักงาน
เพื่อให้บุคลากรทุกคนเป็นต้นแบบที่มีทั้งวินัยในการดำเนินชีวิตและความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการเงิน ก่อนที่จะนำองค์ความรู้นี้ไปขยายผลสู่ลูกค้าและสังคมในวงกว้าง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่ากรุงศรีเชื่อมั่นในแนวคิดนี้อย่างแท้จริง
และพร้อมที่จะผลักดันแคมเปญ GO Sustainable with krungsri เพื่อสื่อสารแมสเสจสำคัญว่า ‘จุดเริ่มต้นของชีวิตที่ยั่งยืนคือการเงินที่มั่นคง’ โดยมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยให้มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่าง การนำความรู้ทางการเงินไปสู่การลงมือทำจริง กับคุณภาพชีวิตในระยะยาว
เปลี่ยนความรู้ให้เป็น ‘อาวุธ’ ด้วยเครื่องมือที่ใช่
เพื่อให้แนวคิดดังกล่าวถูกนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน กรุงศรีจึงได้พัฒนาเครื่องมือ เพื่อเข้ามาช่วยปิดช่องว่างระหว่างความรู้กับการลงมือทำ โดยเริ่มต้นจากการสำรวจตนเองผ่าน Krungsri Financial Health Check
นี่คือเครื่องมือตรวจสุขภาพการเงินที่ออกแบบมาให้เข้าถึงง่ายผ่าน LINE @Krungsrisimple เพียงแค่พิมพ์คำว่า ‘เช็คสุขภาพการเงิน’ ระบบจะทำหน้าที่เสมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนทางการเงินของผู้ใช้งานอย่างตรงไปตรงมา และรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้งานรู้สถานะที่แท้จริงของตนเอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการวางแผน
เมื่อเข้าใจสถานะของตนเองแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเติมเต็มความรู้ที่ขาดหายผ่าน Krungsri The COACH ศูนย์รวมความรู้และคำแนะนำจากกูรูผู้เชี่ยวชาญ ที่ถูกออกแบบมาด้วยแนวคิด ‘โค้ชเรื่องเงิน ให้เป็นเรื่องง่าย’ พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่บทความทั่วไป แต่ได้รวบรวม How-to ที่ย่อยเรื่องการเงินที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง
ไม่ว่าจะเป็นการออม, การใช้จ่าย, การบริหารหนี้, ความคุ้มครอง หรือการลงทุน เครื่องมือนี้จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงที่คอยแนะนำแนวทางที่เหมาะสมกับเป้าหมายของแต่ละช่วงวัย ซึ่งความสำเร็จของ Krungsri The COACH สะท้อนได้จากตัวเลขการมีส่วนร่วมที่สูงกว่า 20% ของทราฟฟิกทั้งหมดบนเว็บไซต์ และยอดรับชมรายการรวมกว่า 45 ล้านครั้งบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันได้ว่าคนไทยกำลังมองหาที่พึ่งพิงทางความรู้ที่เชื่อถือได้ เพื่อนำไปปรับใช้ในการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต
สุดท้ายแล้ว ความยั่งยืนของชีวิตไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขรายได้มหาศาล แต่อยู่ที่ความสามารถในการบริหารจัดการและวางรากฐานให้กับทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมั่นคงเพียงใด ในวันที่โลกหมุนเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สิ่งเดียวที่จะเป็นหลักประกันให้กับชีวิตได้ คือวินัยทางการเงินที่เริ่มสร้างตั้งแต่วันนี้ เพราะ ’ความมั่นคงทางการเงิน’ คืออิสรภาพที่แท้จริงที่จะทำให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืนในแบบที่ต้องการ


