วันนี้ (22 เมษายน) ผู้สื่อข่าวรายงานข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยาและบริษัทในเครือรายงานผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาส 1/2563 โดยมีข้อมูลสำคัญได้แก่
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 7,090 ล้านบาท ลดลง 44.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุเพราะไตรมาส 1/2562 มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น 50% ของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด ที่คิดเป็นจำนวนเงิน 8,625 ล้านบาท
- รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 22,333 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 4,055 ล้านบาท ลดลง 66.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงต่ำกว่าไตรมาส 1/2562 ที่บันทึกกำไรพิเศษจากการขายบริษัท เงินติดล้อ จำกัด ขณะเดียวกันรายได้ยังลดลงจากกิจกรรมทางธุรกิจของลูกค้ารายย่อยและสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.94% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2562 ที่อยู่ระดับ 3.52% ปัจจัยหลักมาจากการลดลงของต้นทุนทางการเงินและการเพิ่มสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์
- ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 2.22% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 ที่อยู่ระดับ 1.98%
เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่าแม้ว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยาสามารถส่งมอบผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในไตรมาส 1/2563 ซึ่งสะท้อนถึงพอร์ตสินเชื่อที่สมดุลและการบริหารความเสี่ยงด้วยความรอบคอบระมัดระวัง ธนาคารคาดว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะรุนแรงมากขึ้นในไตรมาส 2/2563 เนื่องจากการแพร่ระบาดได้ส่งผลกระทบอย่างมากทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทานจากการหยุดชะงักของภาคการผลิตและรายได้ที่ลดลง
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีสินเชื่อรวม 1.87 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.67 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.51 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับ 270,480 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 15.66% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 11.01%
ขณะที่สินทรัพย์ของธนาคาร ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 อยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นปี 2562 โดยเพิ่มขึ้นจากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินสุทธิ รวมถึงเงินฝากสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์