ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คงไม่มีใครเชื่อว่า ด.ญ.วฑูศิริ ภูวปัญญาสิริ เด็กผู้หญิงตัวเล็กตากลมที่กลัวการขึ้นลิฟต์จนต้องให้คุณพ่ออุ้มขึ้นบันได และร้องไห้เกาะขาคุณแม่ทุกครั้งที่ต้องไปเรียนพิเศษ ในวันนี้เธอจะกลายมาเป็น ‘ก่อน BNK48’ ไอดอลสาวที่ต้องขึ้นไปโชว์การแสดงให้คนทั้งประเทศได้รับชม
เพราะฉะนั้นสำหรับก่อน BNK48 จึงไม่ใช่แค่พื้นที่ในการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองโด่งดัง แต่ BNK48 คือ ‘โรงเรียน’ สำคัญที่ทำให้เธอรู้จักจัดการกับความกลัวของตัวเองได้มากขึ้น แต่แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะได้อะไรไปง่ายๆ จากโรงเรียนแห่งนี้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยมีพื้นฐานการร้องและการเต้นมาก่อน
‘ก่อน’ ต้องพบกับความผิดหวังอยู่หลายครั้ง เสียน้ำตาอยู่หลายหน แต่ก็ไม่มีแม้สักครั้งที่เธอคิดจะเลิกล้มความตั้งใจเพื่อความฝันเพียงหนึ่งเดียวว่าจะได้ยินเสียงของตัวเองอยู่ในเพลงของวง BNK48 ให้ได้สักครั้ง แม้จะเป็นเพียงท่อนสั้นๆ ไม่กี่วินาทีก็ตาม
และเป็นไปตามที่เนื้อเพลง วันแรก (Shonichi) บอกไว้ว่า ‘คำว่าพยายาม ไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ’ เธอมีชื่อเป็นเซมบัตสึ (ตำแหน่งตัวจริง 16 คน ที่จะได้ร้องและโชว์ในเพลงนั้นๆ) เป็นครั้งแรกในเพลงนี้ และเป็นอีกครั้งที่เธอต้องเสียน้ำตา ผิดแต่เพียงว่าน้ำตาในครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันที่บอกเธอว่า ‘ในที่สุดเด็กขี้กลัวในวันนั้น ได้เริ่มต้นเดินทางตามความฝันของตัวเองจริงๆ เสียที’
ก่อนเป็นเด็กที่ขี้อายมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะเท่าที่เห็นเวลาออกสื่อต่างๆ จะเห็นได้ชัดเลยว่าก่อนขี้อาย และพูดน้อยกว่าเพื่อนๆ คนอื่นในวงเยอะมาก
เรียกว่าขี้กลัวเลยดีกว่า (หัวเราะ) ก่อนเป็นเด็กขี้กลัวไปหมดทุกเรื่อง ทุกอย่างตั้งแต่จำความได้แล้ว เห็นคนแปลกหน้าก็ร้องไห้ แค่คุณยายแต่งหน้ามาแล้วจำไม่ได้ก็ร้องไห้ ขนาดแค่ขึ้นลิฟต์ยังไม่กล้าเลยต้องให้พ่ออุ้มเดินขึ้นบันไดแทน เวลาแม่ให้ไปเรียนอะไรก็ไม่อยากไป งอแงเกาะขาแม่แล้วก็ร้องไห้ตลอดเวลา
นอกจากขี้กลัวก็เป็นเด็กขี้อายด้วย ตามประสาเด็กอนุบาล ต้องขึ้นแสดงในงานโรงเรียน ก่อนก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย กับเพื่อนๆ ก็ไม่กล้าคุยด้วย เราอาจจะไม่เรียกว่ากลัวเพื่อน แต่คิดว่าน่าจะกลัวการเข้าสังคม ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเวลาอยู่กับคนอื่น กลัวสายตาที่เขาจะมองมาที่เรา พอเข้าชั้นประถมเวลาต้องขึ้นไปแสดงก็ดีขึ้นมาบ้าง โชคดีที่ชอบคิด ชอบครีเอต ครูก็ให้ช่วยออกแบบท่าเต้นให้เพื่อน ซึ่งตอนซ้อมไม่มีปัญหาเลยนะ ก่อนกล้าพูด กล้าซ้อม สนุกสนานได้ตามปกติ แต่พอจะขึ้นเวทีทีไรความกลัวก็จะกลับมาเหมือนเดิมทุกที
ก่อนเป็นเด็กนักเรียนแบบไหนเวลาอยู่ในห้องเรียน
ไม่ค่อยดีเท่าไร อาจจะเพราะเห็นเพื่อนฉลาดกว่าเราเลยยาก เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่เอาไหน ตอนประมาณ ป.3-4 ก่อนเคยเครียดมากถึงขนาดต้องไปปรึกษาจิตแพทย์เลยนะ เขาบอกว่าเราเครียดสะสมมาจากหลายๆ อย่าง เพราะตอนประถมก็มีเรื่องกับเพื่อนในห้องที่รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยชอบเราเท่าไร เราคงเป็นเด็กเงียบๆ แปลกๆ ในสายตาของเขาก็เลยโดนแกล้ง จนขึ้น ป.5 แม่พาย้ายโรงเรียนแล้วรู้สึกว่าดีขึ้น เราเริ่มปรับตัวได้ พอสภาพจิตใจดีขึ้นแล้วผลการเรียนก็ดีขึ้นทันที ก่อนคิดว่าสองเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันจริงๆ
พอขึ้นมัธยมชีวิตก็มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ได้เจอสังคมที่ใหญ่ขึ้น ตอน ม.ต้น ก่อนอยู่ในห้องที่มีเพื่อนผู้ชายเกเรหลายคน จนครูตีตราว่าห้องนี้เป็นเด็กไม่ดี ทั้งๆ ที่เด็กผู้หญิงในห้องก็น่ารัก ทำตามระเบียบตลอด และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ก่อนรู้ว่าสภาพแวดล้อมมีผลกับตัวเราจริงๆ เคยมีบางช่วงที่ก่อนลองทำตัวไปในทางที่ไม่ดีบ้าง แต่สุดท้ายก็ฉุดตัวเองกลับมาได้ เพราะเห็นเพื่อนๆ บางคนโดนไล่ออก แล้วเราไม่อยากเป็นแบบนั้น หลังจากนั้นเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็คิดได้และช่วยกันจนผ่านมาได้
จนขึ้น ม.ปลาย ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตอีก อย่างแรกคือก่อนได้เลือกเรียนสายศิลป์-ญี่ปุ่น ที่ทำให้ไม่ต้องเรียนคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ที่ไม่ชอบแล้ว (หัวเราะ) และการเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนก็ช่วยในทำให้เรามีระเบียบวินัยมากขึ้น อย่างที่สองคือ ก่อนเริ่มรู้สึกอย่างจริงจังว่าอยากแก้นิสัยขี้กลัว ไม่กล้าแสดงออกของตัวเองให้ได้ ก็เลยไปเข้าคลาสแอ็กติ้งที่สอนเรื่องการเสริมสร้างบุคลิกภาพ จนเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ก็เลยตัดสินใจไปสมัครเป็นดรัมเมเยอร์ประจำสีของ ม.4 แล้วถ้าพูดจริงๆ ก็คือก่อนเป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุดในบรรดาดรัมเมเยอร์ 6 คนในปีนั้นด้วยนะ แต่คิดว่าเราเอาความพยายามเข้าแลก เพราะถึงจะเป็นคนขี้กลัว แต่กับเรื่องไหนที่ตั้งใจแล้วว่าจะต้องทำให้ได้ ก่อนก็ต้องตั้งใจจนทำให้ได้จริงๆ
ความรู้สึกของเด็กขี้กลัวแต่ต้องไปยืนอยู่ข้างหน้าในงานกีฬาสีที่มีคนหลายพันจับจ้องเป็นอย่างไรบ้าง
ตลอดเวลาที่ซ้อมก็ยังรู้สึกว่าเราเป็นเด็กโง่ที่ควงไม้แล้วตกใส่หัวตลอดเวลา (หัวเราะ) คนอื่นเขาทำได้กันหมดแล้ว เหลือแต่เราที่ยังทำไม่ได้สักที ก่อนเลยต้องพยายามซ้อมหนักกว่าคนอื่น ซ้อมที่โรงเรียนเสร็จก็กลับไปซ้อมที่บ้านต่อ เพราะอยากทำออกมาให้สำเร็จให้ได้ จนพอถึงวันกีฬาสีที่เรากลัวมาก แต่คงเพราะความพยายามมาตลอดสุดท้ายเราก็ควงไม้ได้สำเร็จ ตอนนั้นช่วยสร้างความมั่นใจให้กับก่อนได้เยอะเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็รู้ว่าถ้าเราตั้งใจซ้อม มีความพยายาม ถึงแม้เราจะไม่เก่ง และสิ่งที่ต้องทำมันจะยากขนาดไหน แต่เราก็จะทำมันออกมาได้ในที่สุด
นอกจากเรื่องการเรียน กิจกรรมต่างๆ ความสนใจเรื่องการร้องการเต้นของก่อนเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน
ตั้งแต่ ป.5 ที่เริ่มติดตามวง Super Junior ของเกาหลี โดยเฉพาะ อึนฮยอก ที่เรียกว่าเป็นติ่งคนหนึ่งได้เลย ซื้อของทุกอย่าง ไปดูคอนเสิร์ต ฟังเพลง ดูรายการ อย่างเดียวที่ไม่ได้ทำคือไปรับที่สนามบิน (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็เริ่มติดตามวงอื่นๆ มาเรื่อยๆ และทำให้ก่อนกลายเป็นคนเสพติดการฟังเพลงตั้งแต่ตอนนั้น พอติดตามมากขึ้นเรารู้สึกว่าเพลงของเขามอบความสุขให้กับเรา ซึ่งเป็นอะไรที่ดีมาก จนเริ่มมีความคิดขึ้นมาเล็กๆ ว่าเราก็อยากเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ติดเรื่องเดิมคือก่อนเป็นเด็กขี้กลัว ทำให้ไม่เคยพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะเป็นอย่างนั้นให้ได้ ตอนมีออดิชันเด็กไทยไปเป็นศิลปินที่เกาหลีก็ไม่กล้าไป คิดว่าคงมีคนเก่งกว่าเราอีกมาก แล้วเราแค่แสดงออกยังทำไม่ได้เลย แล้วจะไปสมัครทำอะไรแบบนั้นได้ยังไง
อะไรทำให้เด็กขี้กลัวคนนั้นกล้าที่จะสมัครออดิชันเข้ามาเป็นสมาชิกวง BNK48
อันนี้อาจจะเป็นเรื่องนามธรรมนิดหนึ่งนะคะ (หัวเราะ) ตอนที่เห็นประกาศรับสมัครของ BNK48 มันเหมือนมีมืออะไรก็ไม่รู้กระชากความรู้สึกของเรา บอกว่าอยากให้ลองสมัครอันนี้ เราก็กลัวอยู่นานจนตัดสินใจส่งใบสมัครตอนอาทิตย์สุดท้าย ส่วนหนึ่งเพราะรอบแรกเป็นการส่งใบสมัครทางอินเทอร์เน็ต เรายังไม่ต้องแสดงออกอะไร ก็เลยลองดู
ความรู้สึกของก่อนเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อผ่านรอบแรกแล้วต้องเข้าสู่รอบสองที่ต้องไปแสดงความสามารถให้ทีมงานดูแข่งกับเพื่อนๆ คนอื่น
ยิ่งกลัวหนักเข้าไปอีก (หัวเราะ) ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเราเป็นกบในกะลาที่หนามาก คือก่อนเป็นคนไม่มีพื้นฐานทั้งการร้องการเต้นมาก่อนเลย แล้วต้องมาเจอเพื่อนๆ ที่มีความสามารถมากมาย ความกลัวที่มีอยู่แล้วก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามสลัดความกลัวออกไปให้ได้มากที่สุด เพราะมาถึงตรงนี้มัวแต่มานั่งกลัวอยู่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร สู้ออกไปแสดงความสามารถของเราให้เต็มที่ไปก่อน แล้วผลออกมาว่าไม่ติด แบบนั้นก่อนคงเสียใจน้อยกว่าที่มานั่งกลัวคนอื่น จนไม่ได้รับเลือกเพราะว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย
สุดท้ายผ่านการคัดเลือกได้เป็นสมาชิก BNK48 จริงๆ ก็ยิ่งมีสิ่งที่ทำให้เรากลัวและต้องต่อสู้เพิ่มขึ้นไปอีก ยอมรับว่าช่วงแรกๆ ก่อนยังทำตัวไม่ถูก เพราะอย่างที่บอกว่าพื้นฐานของเราต่างกับเพื่อนคนอื่นๆ มาก เพื่อนคนอื่นเขาไปไกลจนเราคิดว่ายังไงก็คงตามไม่ทัน เพราะซ้อมเท่าไรก็ไม่รู้สึกว่าเราจะทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้สักที
สุดท้ายตอนประกาศเซมบัตสึ 16 คนรอบแรก ตอนเพลง อยากจะได้พบเธอ ก็ไม่มีชื่อของเราอยู่ในนั้น ตอนนั้นเฟลในระดับหนึ่งแต่ไม่มาก เพราะยอมรับว่าก่อนยังไม่มีความสามารถขนาดนั้น แต่พอประกาศเซมบัตสึรอบที่สองตอนเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ก็ยังไม่มีชื่อของเราอีก ตอนนั้นได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมเราถึงทำไม่ได้ เพราะจากรอบแรกก่อนพยายามขึ้นมาเยอะมาก ทั้งซ้อมร้อง ซ้อมเต้น ออกกำลังกาย ทำทุกอย่างเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่อย่างหนึ่งที่ก่อนพูดได้ก็คือถึงแม้จะผิดหวังมาหลายครั้ง แต่ก่อนยังไม่เคยที่จะจบการศึกษาเลยนะ ยังไงก็ยังอยากพิสูจน์ตัวเองให้ได้อยู่ดี
ออกไปแสดงความสามารถของเราให้เต็มที่ไปก่อน แล้วผลออกมาว่าไม่ติด แบบนั้นก่อนคงเสียใจน้อยกว่าที่มานั่งกลัวคนอื่น จนไม่ได้รับเลือกเพราะว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย
ได้ยินมาตลอดว่าสมาชิกหลายคนใน BNK48 เสียน้ำตากันเยอะมากเมื่อเข้ามาอยู่ในวง
ก่อนน่าจะเป็นคนที่ร้องไห้เยอะเป็นอันดับต้นๆ ของวง (หัวเราะ) โดยเฉพาะเวลากดดัน ไม่ใช่ความกดดันจากคนอื่นนะคะ แต่เป็นความกดดันจากตัวเองล้วนๆ เวลาทำอะไรพลาดหรือผิดหวังก็จะคิดโทษตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมทำไม่ได้สักที แล้วก็จะร้องไห้ออกมา แต่ก่อนไม่ได้เสียดายที่ต้องร้องไห้นะ เพราะคิดว่าความเฟล ความผิดพลาดทุกครั้งมันคือการเรียนรู้ที่ทำให้เราก้าวต่อไป เราจะหยุดอยู่แค่นั้นไม่ได้และต้องเข้มแข็งมากขึ้นไปอีก
อย่างตอนออดิชันไปฟูกุโอกะ (Road to Fukuoka Audition 2017) ที่ก่อนตั้งใจมาก แล้วสุดท้ายก็ผิดหวัง เราไม่มีสิทธิ์ได้ไปฟูกุโอกะ ความรู้สึกแรกคือเสียใจมากๆ เลยนะ จมกับความรู้สึกนั้นอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ แต่หลังจากนั้นก็ฉุดตัวเองขึ้นมาใหม่ ด้วยความคิดว่า โอเค ครั้งนี้เรายังไม่มีสิทธิ์ก็ไม่เป็นไร แต่ครั้งต่อไปเราจะแสดงให้เขาเห็นให้ได้ว่าเราเองก็มีความสามารถมากพอที่จะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน
รู้สึกอย่างไรบ้างในวันที่ความพยายามของก่อนประสบความสำเร็จ หลังจากพยายามอยู่ 1 ปีเต็ม และได้เป็นเซมบัตสึกับเขาเสียที
ตอนแรกเสียใจก่อนนะ เพราะตอนประกาศรอบแรกของเพลง วันแรก (Shonichi) จริงๆ ยังไม่มีชื่อก่อน เสียใจมากเลยนะ เพราะว่านี่คือครั้งที่ 3 แล้ว คนอื่นเขาได้กันไปหมด เหลือแต่เราที่ยังไม่ได้สักที จนเขามาประกาศอีกทีหลังจากที่พี่แจน (เจตสุภา เครือแตง) ประกาศจบการศึกษา ว่าเราได้เป็นเซมบัตสึแทนพี่เขาก็ดีใจมาก เพราะเป้าหมายอย่างเดียวตั้งแต่เข้ามาเป็น BNK48 อยากให้มีเสียงของตัวเองอยู่ในเพลงบ้างสักท่อนก็ยังดี แล้วโอกาสนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว เชื่อไหมว่าตอนได้ฟังเพลง วันแรก (Shonichi) ครั้งแรก ก่อนร้องไห้เลยนะ มันตื้นตันมาก เราพยายามต่อสู้มา 1 ปีเต็ม เพื่อได้ยินเสียงของเราในเพลงแค่นี้แหละ สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงมากๆ อย่างก่อน แค่นี้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ยังไม่ต้องคิดเรื่องจะเป็นเซ็นเตอร์หรือว่าจะเป็นอะไรมากกว่านี้เลย
เมื่อได้มายืนในตำแหน่งเซมบัตสึจริงๆ แล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เราเคยหวังเอาไว้เลยหรือเปล่า
ต้องย้อนไปนิดหนึ่งว่า ตอนประกาศติดเซมบัตสึก่อนดีใจมาก แต่หลังนั้นไม่กี่นาทีความดีใจก็เปลี่ยนเป็นกดดัน เพราะอย่างที่บอกว่าตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่ของเราแต่แรก พื้นที่นี้เป็นของพี่แจนมาก่อน เราเป็นแค่คนที่ต้องมาแทนเขา ซึ่งคำว่ามาแทนมันหนักหนาและมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องเจอเยอะมากเลยนะ มันต่างจากเขาประกาศว่าเซมบัตสึคือก่อน แล้วทุกคนก็จะมองเราเพราะเราเป็นเราจริงๆ แต่แบบนี้กลายเป็นว่าทุกคนก็จะมองเราในฐานะคนที่เข้ามาแทน มันมีกำแพงบางๆ หรืออาจจะหนามากที่กั้นความรู้สึกตรงนี้อยู่
สิ่งที่ก่อนถนัดที่สุดและทำมาตลอดคือการพยายาม พยายามต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ดีที่สุด เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราเองก็เป็นเซมบัตสึตัวจริงเหมือนกัน
ก่อนมีวิธีที่จะทำลายกำแพงของคำว่าตัวแทนนั้นลงได้อย่างไรบ้าง
ยิ่งคิดว่าเราเป็นตัวแทน เราก็จะเป็นตัวแทนต่อไปเรื่อยๆ และคนอื่นๆ ก็จะมองเราว่าเป็นตัวแทนแค่นั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือ เมื่อโอกาสมาถึงเราต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะในฐานะตัวแทนหรืออะไรก็เถอะ ก่อนอาจจะไม่ถนัดในการร้อง การเต้น แต่สิ่งที่ก่อนถนัดที่สุดและทำมาตลอดคือการพยายาม พยายามต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ดีที่สุด เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราเองก็เป็นเซมบัตสึตัวจริงเหมือนกัน
การเข้ามาเป็น BNK48 ตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ได้ช่วยทำให้เด็กหญิงก่อนที่เคยขี้กลัวทุกสิ่งอย่างในวันนั้นหายไปได้มากขนาดไหน
ลึกๆ ทุกวันนี้ก่อนก็ยังขี้กลัวอยู่นะ ยังไม่กล้าแสดงออกเท่าไรหรอก ยิ่งถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ก่อนยังถือว่ากล้าแสดงออกน้อยมาก แต่สิ่งที่ BNK48 ให้กับก่อนก็คือ เรารู้จักที่จะสลัดความกลัวทิ้งไปได้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม สถานการณ์หลายๆ อย่างโดยเฉพาะการไลฟ์ที่ตู้ปลา มันไม่มีที่ว่างให้กับคนที่จะมานั่งอยู่เฉยๆ ด้วยความกลัว เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ในนั้น เรามีหน้าที่ที่ต้องทำ เราต้องพูด ต้องสื่อสารกับแฟนคลับ มีคนที่รอดู รอฟังเราอยู่ เพราะฉะนั้นเราจะมามัวแต่ให้ความกลัว ความอายของเราเป็นใหญ่ไม่ได้
การเข้ามาเป็น BNK48 เลยเหมือนการได้เข้าโรงเรียนเพื่อเรียนรู้เรื่องการแสดงออกที่ดีที่สุดสำหรับก่อน โดยเฉพาะแฟนคลับที่คอยสนับสนุนเรามาตลอด ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่ไปเจอคำวิจารณ์บางอย่าง หรือคำพูดที่ทำร้ายจิตใจและทำให้เรากลัวขึ้นมาบ้าง แต่อย่างน้อยก็ยังมีอีกหลายคนที่คอยสนับสนุนไม่ว่าเราจะเป็นแบบไหน จนตอนนี้คิดว่าก่อนดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก และก็ยังอยากที่จะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้อีก
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ก่อนยังกลัวได้มากที่สุดในตอนนี้
ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการแสดงออก แต่ก่อนกลัวที่เราจะหยุดพัฒนาตัวเอง เพราะเมื่อไรที่เราหยุด เราจะไม่สามารถเดินหน้าไปที่ไหนต่อไปได้เลย และความฝันอีกหลายๆ อย่าง เพลงอีกหลายเพลงที่เราอยากมีเสียงร้องอยู่ในมากกว่านี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
- ถึงแม้ก่อนจะเป็นคนที่ขี้กลัวไปหมดทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบดูหนัง อ่านหนังสือ และฟังเรื่องเล่าลี้ลับเกี่ยวกับผีมากที่สุด
- สมัยเด็กๆ ก่อนเคยมีความฝันอยากเป็นคนขายน้ำตามห้างต่างๆ เพราะเห็นเวลาคนชงเครื่องดื่มแล้วน่าสนุก แต่พอได้ไปช่วยคุณแม่ที่เปิดกิจการขายเครื่องดื่มจริงๆ ก็รู้ว่างานนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และเลิกล้มความฝันนั้นทันที
- ก่อนเป็นคนชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ และมีความสามารถพิเศษคือการตัดต่อคลิปวิดีโอต่างๆ ที่เริ่มฝึกฝนด้วยตัวเองมาตั้งแต่ชั้น ม.1 และรับหน้าที่เป็นคนตัดต่อให้กับเพื่อนๆ เวลาคุณครูสั่งการบ้านเป็นวิดีโอตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา