หัวข้อในเนื้อหานี้
แม่น้ำกกและแม่น้ำสายในจังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมร้ายแรง จากปัญหาการปนเปื้อนของ สารหนู ซึ่งมีต้นตอมาจากการทำเหมืองแร่ขนาดใหญ่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยสารพิษนี้ได้ไหลข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทยและส่งผลกระทบในหลายด้าน
สารหนูดังกล่าวถูกใช้ในกระบวนการสกัดแร่จากเหมืองทองคำและโลหะในรัฐฉาน และได้ไหลปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำสายและแม่น้ำกกก่อนจะไหลไปรวมกับแม่น้ำโขง จากการตรวจสอบพบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำทั้งสองสายเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด และยังตรวจพบในตะกอนดินของแม่น้ำโขงด้วย
ผลกระทบจากการปนเปื้อนนั้นน่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศทางน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน การสัมผัสหรือบริโภคน้ำที่มีสารหนูในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น อาเจียน ปวดท้อง อาการชา และอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอย่างมะเร็งหรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ริมแม่น้ำ ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวซบเซาและผู้ประกอบการได้รับความเสียหาย
แม่น้ำกกอาจเป็นการอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม?
เมื่อถามว่าหลายคนอาจมองว่าแม่น้ำกกเป็นเพียงแค่ปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่ในความเป็นจริงนี่อาจเป็นการก่ออาชญากรรมสิ่งแวดล้อมใช่หรือไม่ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า “แล้วแต่ว่าเราจะมองมุมไหน” พร้อมชี้ให้เห็นว่า การจะระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมหรือไม่นั้น ต้องดูเทียบกับการทำผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากเราไม่ทราบกฎหมายของประเทศเมียนมาว่าผู้ประกอบการต้องดูแลสิ่งแวดล้อมหรือมีการควบคุมอย่างไรบ้าง เราจึงไม่สามารถชี้ชัดได้
อย่างไรก็ตาม เพ็ญโฉมกล่าวว่า เมื่อมองในมิติของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำกก ตลอดจนแม่น้ำสาย แม่รวก แม่น้ำโขง และแม่น้ำอีกสายที่เพิ่งตรวจพบ ซึ่งรวมทั้งหมดเป็น 5 สายแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมีขนาดใหญ่และรุนแรงมาก
การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีกฎหมายควบคุมในพื้นที่ต้นกำเนิด ซึ่งอยู่ในเขตของกลุ่มว้าแดง
“กลุ่มว้าแดงเป็นกลุ่มคนที่ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเมียนมา เป็นกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งตรงนี้ไม่มีกฎหมายของประเทศใดที่จะเข้าไปควบคุมเขาได้ เพราะเขาไม่ยอมรับการปกครองของประเทศที่อ้างว่าเป็นผู้ปกครอง จึงยังบอกไม่ได้ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมที่ละเมิดกฎหมายเหล่านั้น” เพ็ญโฉมกล่าว
เพ็ญโฉม ชวนมองในมุมที่ต่างออกไปว่า “หากมองในเชิงหลักการสากล การทำเหมืองแร่ที่มีการใช้สารเคมีและก่อให้เกิดผลเสียปริมาณมาก การกระทำของเขาเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติ สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง”
นักวิชาการยอมรับการปนเปื้อน ‘แม่น้ำกก’ รุนแรงอย่างมาก
เพ็ญโฉม เปิดเผยว่า ในสายตาของนักสิ่งแวดล้อม รวมถึงนักวิชาการที่มีความรู้เรื่องสารพิษ ทุกคนก็ยอมรับว่าร้ายแรง เนื่องจากมลพิษที่เป็นสาเหตุของการปนเปื้อน ทั้งสารหนูและโลหะหนักอื่นๆ สามารถสร้างผลกระทบต่อร่างกายของคนเราได้
เมื่อสารหนูมีค่าเกินมาตรฐานและปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำและดิน หากเกิดการสะสมเป็นเวลานาน และคนหรือสัตว์สัมผัสบ่อยครั้ง อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้
เพ็ญโฉม ย้ำว่า การปนเปื้อนสารหนูอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งผิวหนังจำนวนมากในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง หรืออาจทำให้สัตว์น้ำในแม่น้ำเกิดความผิดปกติทางผิวหนังและระดับยีน
ตรวจสอบไม่พบการปนเปื้อน ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย
แม้มีการตรวจสอบแม่น้ำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าวางใจได้ เพ็ญโฉม ระบุว่า เวลาที่สารอันตรายอยู่ในสิ่งแวดล้อม เราไม่สามารถชี้ชัดและฟันธงได้ง่าย เนื่องจากสารจากการทำเหมืองมีจำนวนมาก และหากเกิดการสะสมในสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจนก่อให้เกิดความผิดปกติ
พร้อมกล่าวต่อว่า บางคนมองว่าอาจเป็นการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตร คุณเพ็ญโฉมชวนตั้งข้อสังเกตว่า “ถ้าลักษณะที่เกิดขึ้นมาจากสารเคมีทางการเกษตร ความผิดปกติก็น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ด้วย แต่ทำไมพื้นที่นี้จึงมีลักษณะที่เข้มข้นกว่า และพื้นที่อื่นๆ ไม่ได้มีปลาที่มีลักษณะผิดปกติเหมือนกับพื้นที่นี้ ทั้งที่มีการใช้สารเคมีในภาคการเกษตรเหมือนกันทั่วประเทศ”
สำหรับกรณีของปลาแค้ที่มีความผิดปกติ อาจไม่ได้เกิดจากสารหนูโดยตรง แต่การได้รับสารหนูเข้าไปอาจทำให้ภูมิคุ้มกันของปลาอ่อนแอลง จนไม่สามารถดำรงสภาพปกติได้ตามธรรมชาติ ดังนั้น สารหนูอาจเป็นสาเหตุโดยตรงหรือเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วยและความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ชาวบ้านริมแม่น้ำกก อาจกลายเป็นคนยากจนจากภัยธรรมชาติ
เมื่อถามถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านริมแม่น้ำกก เพ็ญโฉม กล่าวว่า “ในสภาวะนี้ทุกคนก็เครียด คนที่มีชีวิตพึ่งพิงและอาศัยอยู่กับแม่น้ำ ทั้งการประมง การเกษตร หรือการท่องเที่ยวที่ใช้ความสวยงามของแม่น้ำได้รับความเดือดร้อนกันทั้งหมด พวกเขาขาดรายได้ คนทำการเกษตรก็เครียดว่า พืชผลที่ปลูกจะรับประทานได้ไหม กินแล้วจะปลอดภัยไหม หรือส่งไปขายที่อื่นจะบาปไหม”
พร้อมมองว่า การปนเปื้อนของแม่น้ำทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจ และอาจทำให้ชาวบ้านริมแม่น้ำกลายเป็นผู้ที่อยู่ในสถานะคนยากจนจากภัยธรรมชาติ
เพ็ญโฉม ย้ำว่าทุกคนกำลังอยู่ในภาวะเครียดและกังวล หากเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยเร็ว ความเครียดอาจทำให้คนจำนวนมากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มีภาวะทางจิตไม่ปกติ และอาจมีความเคียดแค้นได้ อาจกลายเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน หรือจากคนที่มีฐานะดีอาจกลายเป็นคนยากจนรูปแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่เห็นมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากภาครัฐในเรื่องนี้เลย
ไทย-เมียนมา-จีน ความรับผิดชอบที่ถูกเพิกเฉย
การเคลื่อนไหวของประเทศเมียนมา เพ็ญโฉม กล่าวว่า “ทางเมียนมาอ้างว่าเขาไม่สามารถควบคุมว้าแดงได้” ดังนั้น จึงไม่สามารถจัดการการทำเหมืองในรัฐฉานซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดการใช้สารเคมีได้ เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มว้าแดง เหมือนเป็นการปฏิเสธทางอ้อมว่าไม่สามารถช่วยแก้ไขเรื่องนี้ได้
พร้อมกล่าวว่า ความพยายามของรัฐบาลไทยยังน้อยเกินไป เพราะเรื่องนี้ไม่ควรอยู่แค่ในระดับหน่วยงานหรือองค์กรของกระทรวง แต่ควรเป็นระดับของรัฐบาลต่อรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาแก้ไข เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ข้ามพรมแดน เกินกว่าอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอย่างกรมควบคุมมลพิษที่จะเข้ามาดำเนินการในการแก้ไขปัญหา
ในส่วนของประเทศจีน เพ็ญโฉม กล่าวว่าสถานทูตจีนในประเทศไทยและเมียนมาทราบเรื่องนี้แล้ว รวมถึงรัฐบาลจีนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยังคงมีท่าทีเพิกเฉย เพราะจีนไม่ได้ปกครองเมียนมาและยังได้ประโยชน์จากการทำเหมือง
เพ็ญโฉม ย้ำถึงการทำงานของภาครัฐว่า “ถ้าหากรัฐบาลไม่ดำเนินการอะไรที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหา ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลทอดทิ้งเรื่องนี้ เพราะในปัจจุบันรัฐบาลก็ทอดทิ้งเรื่องนี้อยู่”
ทางออกและสิ่งที่ต้องการจากทุกภาคส่วน
เพ็ญโฉม เสนอว่าควรมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และที่สำคัญต้องมีการพูดคุยว่าควรมีใครบ้าง ทั้งรัฐบาลไทย เมียนมา จีน และกองกำลังว้าแดง เพื่อมาเจรจาหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
นอกจากนี้ เน้นย้ำอยากให้ประชาชนทั่วไปตระหนักว่า “ปัญหาแม่น้ำกกไม่ใช่เรื่องไกลตัว” เพราะแม้ผลกระทบจะเกิดขึ้นในภาคเหนือ แต่พืชผลทางการเกษตรอาจกระจายไปทั่วประเทศ รวมถึงผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในเชียงใหม่และเชียงรายที่ทุกคนคุ้นเคย หากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไขอาจลุกลามไปถึงแม่น้ำโขงและกระทบต่อหลายจังหวัดในภาคอีสาน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชา ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศ
พวกเราทุกคนควรมีความรู้สึกร่วมต่อความเดือดร้อนของพี่น้องทางภาคเหนือ เพราะความเดือดร้อนที่เกิดจากมลพิษข้ามแดนเป็นเรื่องใหญ่ และโอกาสที่จะฟื้นฟูนั้นทำได้ยาก การกอบกู้ระบบนิเวศทั้งพื้นดิน แม่น้ำ และน้ำใต้ดิน เมื่อเกิดการปนเปื้อนแล้วยากที่จะฟื้นฟูและกำจัดมลพิษให้หมดไป
ดังนั้น อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพ็ญโฉมกล่าวว่า “ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเสียงของประชาชนทุกคนที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหา” เพราะพวกเราทุกคนมีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยทั้งทางตรงและทางอ้อม
สุดท้ายนี้ เพ็ญโฉม กล่าวทิ้งท้ายว่าการทำเหมืองแร่ในรัฐฉานของเมียนมา แม้จะไม่ผิดกฎหมายหรือไม่ในประเทศของเขา แต่ในหลักการสากลแล้วเป็นการกระทำที่ละเลยความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ถือเป็นการก่ออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่เรายังไม่มีกฎหมายที่จะใช้จัดการได้ในปัจจุบัน