กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนในรายการ WEALTH IN DEPTH ของ THE STANDARD WEALTH ว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนในปีที่ผ่านมาจะยังเติบโตได้ที่ 8.1% แต่การที่ GDP ในช่วงไตรมาสที่ 4 สามารถขยายตัวได้เพียง 4% โดยที่ฐานในปีก่อนหน้าไม่ได้สูงและการส่งออกรวมถึงดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์นั้น ถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่ากำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างที่น่ากังวลเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจจีน
กอบศักดิ์วิเคราะห์ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนน่าจะเป็นผลพวงมาจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่สะสมมาอย่างยาวนาน โดยมีความเป็นไปได้ที่กรณีของ China Evergrande อาจเป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง และยังมีปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ในบริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่ง เห็นได้จากราคาหุ้นและหุ้นกู้ของกลุ่มบริษัทอสังหาจีนในตลาดฮ่องกง ที่มีมูลค่าลดลงอย่างหนักจนถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง
“บริษัทอสังหาจีนกำลังมีปัญหาจากหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับไม่มีใครยอมปล่อยกู้ ทำให้เริ่มเกิดการผิดนัดชำระ หากดูจากหนี้ของ Evergrande รายเดียวที่มีอยู่ราว 3 แสนล้านดอลลาร์ อาจดูไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเงินสำรองประเทศของจีนที่มีอยู่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ภาคอสังหาจีนในภาพรวมมีขนาดรวมกันถึง 50-60 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่าเงินสำรองเป็นสิบเท่า หากเกิดปัญหาทั้งหมดจะกระทบต่อเศรษฐกิจมากแน่ เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่น่ากังวลและต้องจับตาดู” กอบศักดิ์ระบุ
อย่างไรก็ดี กอบศักดิ์ยังเชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดสภาวะ Hard Landing กับเศรษฐกิจจีนในขณะนี้ยังมีไม่มาก เนื่องจากรัฐบาลจีนยังมีเครื่องมือและมาตรการที่ใช้ป้องกันวิกฤตที่หลากหลาย โดยในช่วงที่ผ่านมา จีนมีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ไป 3 ครั้ง ครั้งละ 0.1% เพื่อช่วยกระตุ้นภาคอสังหา และปรับลดอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ หรือ RRR ไป 2 ครั้ง เพื่อเติมสภาพคล่องเข้าระบบเท่านั้น
“หากเปรียบมาตรการที่ออกมาแล้วเป็นอาวุธในคลังแสงของจีน ตอนนี้จีนยังแค่เอาบาซูก้าออกมายิงเท่านั้น ยังเหลือรถถัง เครื่องบิน เรือดำน้ำอีกเยอะ เหมือนคุณหมอที่ลองวัดใจให้คนไข้ดูแลตัวเองก่อนว่าไหวไหม ให้ยาเม็ดเล็กๆ ไปกินดู โดยยังไม่ลงมือรักษา ดังนั้นโอกาสที่จะเกิด Hard Landing ในระยะสั้นนี้คงยาก ยังมีอีกหลายยกแต่ในระยะยาวก็ชะล่าใจไม่ได้เช่นกัน ท่าทีในการจัดการปัญหาของทางการจีนต่อจากนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญ” กอบศักดิ์กล่าว
กอบศักดิ์กล่าวอีกว่า ราคาอสังหาจีนที่ปรับตัวลดลงในขณะนี้อาจส่งผลกระทบกำลังซื้อในประเทศของจีน เนื่องจาก 70% ของความมั่งคั่งของคนจีนอยู่ในภาคอสังหา เมื่อราคาสินทรัพย์ที่คนจำนวนมากถือครองอยู่ลดต่ำลง คนก็จะไม่กล้าใช้จ่าย ซึ่งเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อไทยได้ในหลายมุม
หนึ่ง คือการส่งออกสินค้าไปจีนอาจมีมูลค่าลดลงตามการใช้จ่ายของคนจีนที่ลดลง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวจีนที่ทางการน่าจะยังไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศจนถึงปี 2566
สอง เมื่อตลาดในประเทศจีนชะลอตัว สินค้าจีนจะออกมาตีตลาดนอกประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงที่สินค้าไทยจะได้รับผลกระทบด้วย เนื่องจากจีนผลิตได้เร็วและถูกกว่า
นอกจากนี้การที่จีนกำลังดำเนินนโยบายการเงินที่สวนทางกับธนาคารกลางหลายแห่ง ก็อาจทำให้เกิดความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยสภาพคล่องจะถูกดูดกลับไปอยู่ในฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่รวมถึงไทยได้รับผลกระทบ
ชมคลิปฉบับเต็มได้ที่:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP