สำหรับ เจอร์เกน คล็อปป์ แล้ว เกม ‘แดงเดือด’ ระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจไม่ได้เป็นเกมที่อยู่ในขั้นของคู่ปรับที่ไม่อาจยอมความกันได้เหมือนในอดีต ซึ่งเราจะมองเห็นสิ่งนี้ชัดเมื่อเทียบกับการเผชิญหน้ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่บรรยากาศความเข้มข้นในสนามแตกต่างกันอย่างมาก
มีหลายนัดที่ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะได้อย่างสวยงามเหนือคู่ปรับแห่งถนนสาย M62 ไม่ว่าจะเป็นการชนะด้วยสกอร์ 5-0 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในปี 2021 หรือ 7-0 ที่แอนฟิลด์ ซึ่งเป็นสกอร์ที่ขาดลอยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2023
แต่ในทางตรงกันข้าม ก็มีเกมที่ลิเวอร์พูลเสียท่าอยู่เหมือนกัน ล่าสุดคือเกมเอฟเอคัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ใน ‘โรงละครแห่งความฝัน’ ที่กลายเป็นเกมสุดดราม่า เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ด ของ เอริก เทน ฮาก ที่เป็นรองเกือบตลอดทั้งเกม นอกจากจะไล่ตามตีเสมอได้ในช่วงก่อนหมดเวลา 90 นาที ยังพลิกเกมด้วยการทำ 2 ประตูในช่วงท้ายของการต่อเวลาพิเศษ แซงชนะเขี่ยคู่ปรับตลอดกาลตกรอบอย่างบอบช้ำ
นั่นแปลว่าทุกอย่างเป็นไปได้เสมอสำหรับสงครามสีแดง ในความหมายของการเป็น ‘Arch-Rival’ หรือคู่ปรับตลอดกาล
คืนนี้ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันจะนำทีมของเขาบุกไปเยือนโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง และจะเป็นครั้งสุดท้ายในเกมที่มีความหมายที่สุดต่อโอกาสในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งจะเป็นการปิดฉากอำลาที่สวยงามที่สุด และถ้าทำได้จะทำให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกสมัยที่ 20 เท่ากับแมนฯ ยูไนเต็ด
เพียงแต่สำหรับ เอริก เทน ฮาก เรื่องความฝันของคล็อปป์เป็นเรื่องธุระไม่ใช่
เพราะตัวของเขาเองก็มีสิ่งที่ต้องทำเหมือนกัน เพื่อไม่ให้เกมแดงเดือดครั้งนี้เป็นเกมสุดท้ายสำหรับตัวเขาเองเช่นกัน
ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ระยะห่างระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ที่ 22 แต้ม
เป็นระยะห่างที่ค่อนข้างมาก แต่ก็นับว่าสะท้อนความเป็นจริงตามตารางอันดับคะแนนของทีมที่อยู่ในอันดับ 1 และอันดับ 6
เราอาจมองได้ว่า ระยะห่างระหว่างกันนั้นยังเป็นการสะท้อน ‘สถานะ’ ที่แท้จริงของสองสโมสรที่เป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษได้ด้วยครับ ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา นับจากวันที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือจากการเป็นนายใหญ่แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด
ให้ความเป็นธรรมกับยูไนเต็ด เมื่อไม่มีบารมีของ ‘เฟอร์กี’ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากภายใต้การบริหารแบบไม่บริหารของครอบครัวเกลเซอร์ ที่มีนโยบายการทำงานแบบไม่มีนโยบาย มีไดเรกชันที่จะพาสโมสรก้าวเดินแบบไร้ทิศทาง
แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเพียงเครื่องมือหาเงินสำหรับเกลเซอร์ และบาดแผลของมันนั้นเจ็บลึกและยังคงอักเสบอยู่จนถึงทุกวันนี้
เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ พยายามเข้ามาสมานแผลที่เกิดขึ้น เยียวยา และตั้งใจจะนำพา ‘ปีศาจแดง’ กลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นั่นก็อาจหมายถึงการต้องใช้เวลาอีกหลายปี
2 นัดล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เพียงแต่จะทิ้งโอกาสที่จะคว้าชัยชนะได้ แต่พวกเขายังบั่นทอนหัวใจตัวเองเป็นริ้วๆ ด้วย จากการที่ถูกเบรนท์ฟอร์ดไล่ตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาเพิ่งได้เฮกันสนั่นจากประตูขึ้นนำของ เมสัน เมาท์
และเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา อุตส่าห์พลิกแซงขึ้นนำเชลซีเป็น 3-2 ทั้งๆ ที่ตามหลังก่อนถึง 2 ประตู และกำลังจะชนะอยู่แล้ว แต่กลับเสียท่าโดนทีมจากลอนดอนที่กำลังยับเยินไม่ได้น้อยไปกว่ากัน พลิกสถานการณ์ในช่วงนาทีบาปของการทดเวลาบาดเจ็บ ทำ 2 ประตูคว้าชัยชนะไปได้เฉยเลย
ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้พวกเขาตามหลังทีมอันดับ 4 แอสตัน วิลลา 11 แต้ม แม้จะลงสนามน้อยกว่า 1 นัด และตามหลังท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ซึ่งลงสนามเท่ากัน 10 แต้ม โดยเหลือเกมอีกแค่ 8 นัดในฤดูกาลนี้
โอกาสจะลุ้นทำอันดับไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เพียงในทฤษฎีและจินตนาการเท่านั้น
โดยที่หากพวกเขาเป็นฝ่ายพลาดท่าพ่ายแพ้ในเกมแดงเดือดกับลิเวอร์พูลอีก ก็เพียงพอที่จะยอมรับว่า ‘จบ’ แล้วเหมือนกัน
และนั่นก็อาจหมายถึงตอนจบสำหรับเทน ฮาก กับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่เวลานี้ความรู้สึกของทั้งแฟนบอลและฝ่ายบริหารเริ่มชัดเจนว่า เขาอาจไม่ใช่คนที่จะพาทีมไปได้ไกลกว่านี้ ซึ่งขณะนี้ INEOS ได้วาง ‘ขุนพล’ ในตำแหน่งสำคัญๆ ของฝ่ายบริหารเอาไว้เกือบครบถ้วนทุกจุดแล้ว ซึ่งรวมถึง เจสัน วิลค็อกซ์ อดีตปีกดัง ที่จะสละตำแหน่งในทีมเซาแธมป์ตันมาดูแลงานเฟ้นหานักเตะแววดีที่แคร์ริงตันแทน
เก้าอี้ของเทน ฮาก มีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงเจ้าของได้สูงหลังจบฤดูกาลนี้
ยกเว้นเสียแต่จะเก็บชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลได้ในเกมแดงเดือด
สิ่งที่พอจะเป็นความหวังสำหรับเหล่า Red Army ได้คือ การที่แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของ เอริก เทน ฮาก มักจะทำได้ดีในการเจอกับลิเวอร์พูล
เทน ฮาก เก็บชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลได้ถึง 3 นัดด้วยกันครับ
เกมแรกสุดถึงจะไม่ใช่เกมอย่างเป็นทางการ แต่การถล่มคู่ปรับที่ราชมังคลากีฬาสถานในเกม ‘THE MATCH’ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2022 ถึง 4-0 ก็ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา
เกมที่ 2 คือการรวมใจกันสู้และเอาชนะได้ 2-1 ในเกมแดงเดือดอย่างเป็นทางการนัดแรกที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งเป็นเกมที่สำคัญอย่างมาก เพราะสถานการณ์ตอนนั้นแมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มต้นฤดูกาลได้เลวร้ายอย่างยิ่ง
ถ้ายังจำกันได้ เทน ฮาก สั่งให้นักเตะทุกคนวิ่งเป็นระยะทางกว่า 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นจำนวนระยะทางที่ทีมวิ่งน้อยกว่าเบรนท์ฟอร์ด ก่อนที่ทีมจะแพ้หมดรูป 4-0 ซึ่งการวิ่งครั้งนี้ช่วยให้ชนะใจลูกทีมได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ก่อนจะชนะลิเวอร์พูลในวันที่ทุกคนเชื่อว่าพวกเขาเป็นรองเยอะได้ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยม
และครั้งล่าสุดคือเกมเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว ที่เขี่ยลิเวอร์พูลตกรอบเอฟเอคัพด้วยประตูชัยในนาทีบาปสุดๆ ของ อามัด ดิยาลโล ที่ทำให้ชนะไป 4-3 แบบสุดเหลือเชื่อ
มีครั้งเดียวที่เทน ฮาก แพ้ต่อคล็อปป์ แต่ก็เป็นเกมที่เจ็บหนักหน่อย เพราะโดนถล่มถึง 7-0 ที่แอนฟิลด์ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ก็เป็นผลการแข่งที่แม้แต่คล็อปป์เองก็บอกว่า “บ้าบอ” ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้เป็นปกติ
ขณะที่การพบกันในพรีเมียร์ลีกนัดแรกของฤดูกาลนี้ที่แอนฟิลด์จบลงด้วยการเสมอกันไปแบบจืดๆ 0-0 ซึ่งเป็นเกมที่เดอะค็อปทั่วโลกบ่นด้วยความผิดหวัง เพราะลิเวอร์พูลเล่นผิดฝาผิดฟอร์มอย่างมาก เล่นเหมือนเกรงอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ของแมนฯ ยูไนเต็ด
จุดนี้เองที่เป็นคำถามสำคัญสำหรับทั้งคล็อปป์และทีมของเขา
เพราะถ้าอยากจะไปให้ถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก ชัยชนะทุกนัดคือสิ่งจำเป็น และนั่นรวมถึงชัยชนะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดด้วย
สถิติที่น่าประทับใจสำหรับลิเวอร์พูลในปี 2024 คือพวกเขาเป็นทีมที่ชนะมากที่สุดถึง 16 นัด ยิงได้ถึง 59 ประตู ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่ในอังกฤษ แต่ดีที่สุดในบรรดาลีก ‘Big Five’ ของยุโรป
ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ยังเป็นทีมที่พลิกสถานการณ์กลับมาจากการเป็นรองได้เก่งที่สุดด้วย นับแค่ในพรีเมียร์ลีก พวกเขาเก็บได้ถึง 26 คะแนน เรียกได้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์บีบหัวใจจนชิน (แม้แฟนบอลอาจจะบอกว่าไม่ชินสักทีก็ตาม)
เป็น ‘Mentality Monster’ ในสายเลือดโดยแท้
แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ความเก่งกาจเหล่านี้มักจะหายไปเมื่อเจอกับแมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของเทน ฮาก ที่ลิเวอร์พูลมักจะเล่นผิดฟอร์มอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะในยามที่มีความรู้สึกว่า ‘เป็นต่อ’ อยู่พอสมควร
เรื่องนี้หากมองลงไปในรายละเอียดแล้ว เหตุผลสำคัญเกิดจากการวางหมากของกุนซือชาวดัตช์ที่เน้นความรัดกุม เหนียวแน่น และใช้เกมสวนกลับ ซึ่งกลายเป็นสไตล์ถนัดที่เข้าทางกับนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคนี้ที่มีความเร็วจัดจ้านหลายคน โดยเฉพาะ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อเลฮานโดร การ์นาโช
กลหมากที่วางไว้ทำให้ลิเวอร์พูลเล่นในเกมตัวเองได้ไม่ถนัด และด้วยความเป็นเกมใหญ่ อาการเกร็งก็เกิดขึ้นมา
ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นแม้แต่ในเกมเอฟเอคัพ ที่ลิเวอร์พูลโดนออกนำไปก่อนตั้งแต่ต้นเกม ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนจะยิงแซงนำได้ ซึ่งก็ไม่ควรจะมีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงแล้ว แต่สุดท้ายก็เกร็งกันเอง และพลาดเสียท่าในที่สุดทั้งๆ ที่ทุกอย่างอยู่ในกำมือ
แต่หากมองในภาพใหญ่ ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ทำผลงานในการเจอกับทีมกลุ่ม Big Six ได้ไม่ดีเอาเสียเลย เป็นทีมเดียวที่ไม่สามารถคว้าชัยชนะจากทีมในกลุ่มท็อปของตารางได้แม้แต่เกมเดียว (ขณะที่อาร์เซนอลทำผลงานดีที่สุดในเกมใหญ่)
เรื่องนี้ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรก็ตาม ชัดเจนครับว่าคล็อปป์จำเป็นต้องแก้ไขให้ได้ ซึ่งเกมที่โอลด์แทรฟฟอร์ดคือ ‘โอกาส’ ที่จะแก้ไขเรื่องนี้
สถานการณ์ในเกมนี้ชวนให้คิดถึงเกมแดงเดือดที่แอนฟิลด์ในฤดูกาล 2019/20 ในช่วงต้นปี 2020 ก่อนที่โควิดจะระบาดไปทั่วโลก
ในช่วงเวลานั้นลิเวอร์พูลโกยแต้มนำโด่งไปชนิดที่ใครก็เชื่อว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีได้อย่างแน่นอน เพียงแต่น่าแปลกที่ไม่มีแฟนบอลลิเวอร์พูลคนไหนเชื่อเลยว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์ได้จริงๆ
มันขาดไปอย่างหนึ่งคือ การชนะแมนฯ ยูไนเต็ด ให้ได้
เกมที่แอนฟิลด์ในวันนั้นเป็นไปอย่างตึงเครียด ลิเวอร์พูลขึ้นนำไปก่อน 1-0 ตั้งแต่ต้นเกมจาก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และเกมก็ถือว่าดีกว่าตามประสา เพียงแต่มันจะมีกำแพงในใจบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าหากพลาดขึ้นมาจะเสียท่าได้
และการเสียท่าอาจหมายถึงการสะดุดก่อนที่ทุกอย่างที่ทำมาอาจจะล่มสลายได้ ความกังวลในความรู้สึกของคนมันสามารถไปได้ไกลถึงขนาดนั้น
แต่สุดท้ายเมื่อ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ตัดบอลจากการเปิดลูกเตะมุมได้ แล้วเตะยาวทิ้งมาให้ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ควบเอาบอลเข้าไปยิงผ่าน ดาบิด เด เคอา ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ความรู้สึกทุกอย่างที่อัดอั้นมันถูกระบายออกมาอย่างพรั่งพรู
We’re gonna win the league. แฟนบอลลิเวอร์พูลร้องเพลงกันลั่นด้วยความมั่นใจว่าจะคว้าแชมป์ลีกได้ในวันนั้น
เกมแดงเดือดนัดนี้สถานการณ์อาจจะแตกต่างจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วมาก เพราะมีคู่แข่งในการแย่งแชมป์อีก 2 ทีมที่ล้วนแข็งแกร่งมากๆ อย่างอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ในความรู้สึกลึกๆ ของลิเวอร์พูลแล้ว หากพวกเขาเก็บชัยชนะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในวันอาทิตย์นี้ได้ มันอาจจะเป็นปีของพวกเขา
อย่าลืมว่าทุกอย่างยังอยู่ในมือเวลานี้ ลิเวอร์พูลเป็น Master of Fortune ผู้ควบคุมดวงชะตาของตัวเอง
เกมแดงเดือดครั้งสุดท้ายสำหรับคล็อปป์จึงอาจไม่ได้มีความสำคัญแค่ในเชิงของประวัติศาสตร์ ความเป็นอริราชศัตรูของสองราชวงศ์ลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางเมืองเหนือของอังกฤษ
แต่สำคัญกว่าในเรื่องของความรู้สึก โชคชะตา และความฝันอันสูงสุด
สำหรับผู้จัดการทีมที่กำลังจะไปจากเมืองที่ไม่ใช่บ้านเกิด แต่ก็รักเหมือนบ้านเกิด จะมีอะไรที่ดีกว่าการจากลาด้วยการมอบของขวัญชิ้นที่ดีและสวยงามที่สุดให้แก่ทุกคน
และในทางกลับกัน ทุกคนก็อยากมอบของขวัญชิ้นนี้ให้แก่คล็อปป์ เพื่อแทนคำขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างด้วย
คล็อปป์เคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ตั้งแต่วันที่ลิเวอร์พูลได้แชมป์ แต่ทุกคนไม่สามารถออกมาร่วมฉลองกันได้เพราะโรคระบาด “แล้วเราจะออกมาฉลองด้วยกัน”
ย้ำอีกครั้งว่า เกมแดงเดือดนัดนี้ไม่ได้เป็นจุดตัดสินหรือจุดจบสำหรับการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายทศวรรษหรืออาจจะศตวรรษ
แต่มันจะมีความหมายและความสำคัญอย่างยิ่งยวดแน่นอน
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- แมนฯ ยูไนเต็ด vs. ลิเวอร์พูล ศึก แดงเดือด นัดสุดท้ายของฤดูกาล
- ถ้าไม่ใช่ ชาบี อลอนโซ? ใครเหมาะสมต่อการคุม ‘ลิเวอร์พูล’ ต่อจาก เจอร์เกน คล็อปป์