เคลาส์ ชวาป ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum (WEF) ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (21 เมษายน)
แถลงการณ์ที่เผยแพร่โดย WEF ระบุว่า “ตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ และในวาระที่ผมจะอายุครบ 88 ปี ผมตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานและสมาชิกคณะกรรมการบริหาร โดยจะมีผลทันที”
อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมันผู้นี้ไม่ได้ชี้แจงเหตุผลในการลาออก โดย ปีเตอร์ บราเบ็ค-เล็ทมาเธ รองประธาน WEF จะรับหน้าที่เป็นรักษาการประธานชั่วคราว ซึ่งการสรรหาประธานคนต่อไปได้เริ่มต้นขึ้นทันที หลังจากที่การประกาศลาออกของชวาปได้รับการยอมรับจากที่ประชุมพิเศษเมื่อช่วงต้นสัปดาห์
ชวาปก่อตั้ง WEF ขึ้นเมื่อปี 1971 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเวทีที่เปิดโอกาสให้บรรดาผู้กำหนดนโยบายและผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ ได้มาร่วมกันแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ของโลก การประชุมครั้งแรกจัดขึ้นที่ดาวอสในปีเดียวกัน โดยมีผู้เข้าร่วมหลายร้อยคน รวมถึงนักธุรกิจ นักวิชาการ และนักการเมือง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา WEF รวมถึงการประชุมสุดยอดที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเริ่มเจอกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาว่า เป็นเวทีที่มีไว้เพื่ออภิสิทธิ์ชนและไม่สนใจชีวิตของคนธรรมดา ขณะเดียวกัน ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตัวชวาปเองก็ตกเป็นเป้าโจมตีของผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดหลายคน
WEF สอบ ชวาป หลังมีจดหมายนิรนามติงพฤติกรรมไม่เหมาะสม
ต่อมาในวันอังคาร (22 เมษายน) WEF ประกาศว่าทางองค์กรได้เริ่มดำเนินการสอบสวนชวาป หลังมีจดหมายนิรนามกล่าวหาว่าชวาปมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ซึ่งรายงานการสอบสวนดังกล่าวเป็นแห่งแรก ระบุว่าจดหมายนิรนามที่ส่งถึงคณะกรรมการของ WEF เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการกำกับดูแลและวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงข้อกล่าวหาที่ว่าครอบครัวชวาปเอาเรื่องส่วนตัวของพวกเขามาปะปนกับทรัพยากรของ WEF โดยไม่มีการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม
WEF เปิดเผยกับสำนักข่าว Reuters ว่าทางองค์กร “พิจารณาข้อกล่าวหานี้อย่างจริงจัง และเน้นย้ำว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และจะรอผลการสอบสวนเพื่อแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม”
The Wall Street Journal รายงานว่าโฆษกของครอบครัวชวาปปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด นอกจากนี้โฆษกยังกล่าวด้วยว่า ชวาปจะยื่นฟ้องผู้ที่อยู่เบื้องหลังจดหมายนิรนามฉบับนี้ รวมถึง “บุคคลใดก็ตามที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเหล่านี้”
แฟ้มภาพ: Yves Herman / File Photo / Reuters
อ้างอิง:
