หนึ่งในผลกระทบที่เกิดขึ้นชัดเจนที่สุดในวิกฤตโควิด-19 คือผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการจ้างงาน ที่เกิดขึ้นจากมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เป็นเหตุให้หลายกิจการต้องปิดตัวลงชั่วคราว รายได้หาย การจ้างงานหด และซ้ำร้ายอาจลุกลามยืดเยื้อจนถึงขั้นทำให้บางธุรกิจต้องล้มหายตายจากไปโดยที่ยังไม่มีใครรู้ว่าวิกฤตครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การจ้างงานของไทยจากวิกฤตโควิด-19 ในรายงาน ‘จ้างงานไทยมืดมิดจากพิษ COVID-19’ โดยระบุว่า
โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 มีลักษณะเฉพาะ และแตกต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เคยมีมา เนื่องจากเป็นวิกฤตทางสุขภาวะที่กระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตประจำวัน กิจกรรมในภาคเศรษฐกิจจริงลดลงอย่างรุนแรง อีกทั้งการระบาดที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างทั่วโลกส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศตัดสินใจปิดประเทศ และออกมาตรการให้ประชาชนอยู่บ้าน (Lockdown) หรือรณรงค์ให้เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) กลายเป็นความเสี่ยงจากนโยบายที่กระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคบริการที่จำเป็นต้องมีการติดต่อพบปะกัน (Physical Presence) ในการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างหนักทั้งในแง่การประคับประคองกิจการ การว่างงานที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการทำงานที่ลดลง
ผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอาจแจกแจงได้เป็น 4 ด้าน ได้แก่
- การถูกสั่งปิดกิจการชั่วคราวโดยอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่บัญญัติไว้ตามกฎหมาย
- รายรับที่ลดลงอย่างมากจากมาตรการล็อกดาวน์ หรือการรณรงค์ให้มีระยะห่างทางสังคม
- กระบวนการผลิตชะงักงันจากการรับมอบวัตถุดิบหรือส่งมอบสินค้าที่ไม่เพียงพอหรือไม่ทันการ (Supply Chain Disruption) หรือ
- ลูกค้าธุรกิจชะลอการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ (Trade Credit)
ซึ่งในแต่ละกรณีจะส่งผลต่อการตัดสินใจด้านการจ้างงานของนายจ้าง ทั้งในแง่จำนวนการจ้างงานหรือการปรับลดชั่วโมงทำงาน (ตารางที่ 1) เนื่องจากค่าจ้างถือเป็นต้นทุนในการดำเนินงาน (Operating Cost) หลักในหลายธุรกิจ ผลกระทบจากการลดการจ้างงานจะสูงที่สุดในกลุ่มลูกจ้างที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม (มาตรา 33) เช่นเดียวกับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่รายได้จะลดลงอย่างมากจากกำลังซื้อที่หดตัว
แรงงานนอกระบบประกันสังคมมาตรา 33 และแรงงานที่อยู่ในธุรกิจ SMEs เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างเป็นลำดับแรก
การจ้างงานมากกว่าครึ่งหนึ่งในตลาดแรงงานไทยเป็นการจ้างงานนอกระบบ ซึ่งรวมถึงการจ้างงานเกือบทั้งหมดในภาคเกษตร (24%) และแรงงานที่ไม่ได้ลงทะเบียนในระบบประกันสังคม (31%) (รูปที่ 1) และหากนับรวมแรงงานและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ประกันตนเองโดยสมัครใจในระบบประกันสังคมมาตรา 39 และ 40 ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับสวัสดิการว่างงานแล้ว (10%) เท่ากับว่าในการจ้างงานทั้งหมดประมาณ 38 ล้านคน มีแรงงานถึงราว 2 ใน 3 ที่จะไม่ได้รับความคุ้มครองและค่าชดเชยใดๆ ทั้งจากนายจ้างและระบบประกันสังคมในกรณีถูกเลิกจ้าง
แรงงานนอกระบบจึงเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างฉับพลันสูงสุดในกรณีที่ภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บันเทิงและนันทนาการ ค้าปลีกและค้าส่ง ที่มีการจ้างงานนอกระบบสูงกว่าค่าเฉลี่ย (รูปที่ 2) และยังเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 สูงที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น การจ้างงานกว่า 70% ในโครงสร้างแรงงานไทยเป็นการจ้างงานในธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม หรือ SMEs ที่มักมีสถานะทางการเงินและทางเลือกในการระดมทุนจำกัดกว่าธุรกิจรายใหญ่ อีกทั้งการจ้างงาน SMEs มีความเข้มข้นสูงในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 (รูปที่ 3) จึงมีโอกาสจะได้รับผลกระทบในแง่การจ้างงานหรือรายได้สูง
ประเมินผลกระทบจากโควิด-19
ภาคธุรกิจใดจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใดจากโควิด-19 ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจว่าอ่อนไหวเพียงใดต่อภาวะเศรษฐกิจและมาตรการของภาครัฐ KKP Research จึงใช้เกณฑ์ 3 ด้านในการพิจารณาความรุนแรงของผลกระทบ ได้แก่
- ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็น (Discretionary Spending) ซึ่งจะถูกตัดออกจากการใช้จ่ายเป็นลำดับต้นๆ ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- ความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจจากที่บ้าน (Work from Home) และ
- ความสามารถในการขายสินค้าหรือบริการแก่ลูกค้าภายใต้การรักษาระยะห่างทางสังคม (Value Delivery Under Social Distancing)
การประเมินภายใต้เกณฑ์ร่วมทั้ง 3 ด้านนี้ พบว่าภาคธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบต่อการจ้างงานมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร ธุรกิจบันเทิงและนันทนาการ การขนส่ง การค้าส่งและค้าปลีก รวมถึงธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ (ตารางที่ 2) ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากรายได้หดตัว แรงงานปรับรูปแบบเป็นการทำงานจากที่บ้านได้ยาก และมีช่องทางค่อนข้างจำกัดในการส่งสินค้าหรือบริการโดยไม่ต้องพบปะกัน
KKP Research คาดการว่างงานจะพุ่งสูงถึงกว่า 5 ล้านคน
ภายใต้สมมติฐานที่สถานการณ์การระบาดจะชะลอลงภายในสิ้นไตรมาส 2 แต่ยังคงมีมาตรการปิดเมืองบางส่วนต่อเนื่องในไตรมาส 3 และใช้ระดับการประเมินผลกระทบรายธุรกิจตามเกณฑ์ข้างต้น ประกอบกับการปรับให้แรงงานนอกระบบได้รับผลกระทบมากกว่าแรงงานในระบบในแต่ละภาคธุรกิจ KKP Research คาดว่าจะมีการเลิกจ้างงานหรือถูกพักงานโดยไม่มีรายได้ เพิ่มขึ้นจากโควิด-19 อีกกว่า 4.4 ล้านคน ส่งผลให้การว่างงานโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 13.2% ของกำลังแรงงานไทย (รูปที่ 4)
โดยภาคธุรกิจที่จะมีการเลิกจ้างหรือพักงานมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจโรงแรมและบริการอาหาร ซึ่งคาดว่าจะมีการจ้างงานลดลงถึง 1.5 ล้านคน (-25%) และ 9.9 แสนคน (-34%) ตามลำดับ (รูปที่ 5)
นอกจากนี้ การจ้างงานในธุรกิจบันเทิง ก่อสร้าง และธุรกิจขนส่งจะได้รับผลกระทบสูงถึงราว 24-28% ขณะที่ในภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบทั้งจากคำสั่งซื้อจากในและต่างประเทศที่ลดลง การติดขัดในห่วงโซ่การผลิต และสต๊อกสินค้าคงคลังเดิมที่อยู่ในระดับสูง คาดว่าการจ้างงานจะลดลง 5.8 แสนคนหรือ 10% จากระดับการจ้างงานก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อการเลิกจ้างเพิ่มขึ้นหากสถานการณ์ยืดเยื้อกว่าที่ประเมินไว้
ภาคการเกษตรไม่อาจเป็นแหล่งรองรับแรงงานจากเมืองได้เหมือนแต่ก่อน
แรงงานที่ถูกเลิกจ้างในภาคบริการและภาคการผลิตจะประสบปัญหาในการหางานใหม่ในเขตเมือง ในห้วงเวลาที่ทุกองคาพยพของเศรษฐกิจไทยต่างได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
ในขณะที่ภาคเกษตรที่เคยเป็นแหล่งรองรับการไหลกลับของแรงงานจากเมืองจากวิกฤตคราวก่อนๆ อาจไม่มีความสามารถในการจุนเจือรายได้ให้แก่ผู้ถูกเลิกจ้าง ทั้งด้วยจำนวนผู้ที่จะตกงานที่คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ และด้วยปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลต่อเนื่องให้ปริมาณผลผลิตพืชเศรษฐกิจหลักลดลง (รูปที่ 6) โดยเฉพาะข้าวซึ่งแม้ราคาตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ครัวเรือนเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งชลประทานได้ หรือยังประสบภาวะภัยแล้ง จึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลได้เพียงพอต่อการสร้างรายได้
นักศึกษาที่กำลังจบใหม่จะตกงาน และต้องทำงานต่ำกว่าความสามารถ
KKP Research คาดว่าในช่วงกลางปีนี้ จะมีนักศึกษาจบใหม่ที่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานราว 340,000 คน อย่างไรก็ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ถูกซ้ำเติมด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจทำให้มีเพียงราว 1 ใน 3 ของบัณฑิตจบใหม่เหล่านี้ที่สามารถหางานที่เหมาะสมกับระดับทักษะได้ โดยจะเป็นกลุ่มที่ศึกษามาในสายวิชาชีพหรือเทคโนโลยี ที่ยังเป็นที่ต้องการในหลายภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจสารสนเทศและการสื่อสารที่ยังมีการลงทุนต่อเนื่อง และได้รับผลกระทบจำกัดจากสถานการณ์โควิด-19
บัณฑิตจบใหม่จำนวนมากอาจจำเป็นต้องเลือกทำงานต่ำกว่าระดับ หรือตัดสินใจไม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน และยังขาดช่องทางในการเสริมทักษะจากความไม่พร้อมของสถานศึกษาในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นค่าเสียโอกาสสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจต้องอยู่ในภาวะชะงักงันเป็นเวลานาน
แนะรัฐออกมาตรการจ้างงาน ฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19
มาตรการจากทางการที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเงินโอน 5,000 บาท (เราไม่ทิ้งกัน) การพักชำระหนี้ชั่วคราว หรือการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loans) ผ่านสถาบันการเงินให้แก่ธุรกิจ เป็นมาตรการเชิงเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อลูกจ้างและภาคธุรกิจ โดยมีการจ้างงานเป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นเงื่อนไขหลักในการขอรับความช่วยเหลือ
อีกทั้งข้อมูลของภาครัฐที่ไม่สมบูรณ์หรือผิดพลาดยังทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติ ทั้งที่ความช่วยเหลือจำเป็นต้องถึงมือผู้ที่ประสบปัญหาจริง และด้วยความรวดเร็วทันเวลา จึงอาจก่อให้เกิดภาระแก่รัฐมากเกินความจำเป็น (Moral Hazard and Inefficiency)
มาตรการเชิงรุกเพื่อรักษาการจ้างงานของภาคธุรกิจ
KKP Research มองว่า นอกจากมาตรการเชิงเยียวยาดังกล่าวข้างต้นแล้ว ทางการควรมีมาตรการเชิงรุกเพื่อรักษาการจ้างงานให้อยู่ระดับที่พร้อมต่อการขับเคลื่อนธุรกิจเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งอาจทำได้โดย
- การกำหนดเงื่อนไขในการรักษาระดับการจ้างงานขั้นต่ำในการขอรับความช่วยเหลือ โดยอาจมีข้อยกเว้นได้ในบางกรณี
- การอุดหนุนการจ่ายค่าจ้างให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างเป็นสัดส่วนตามผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งรวมถึงผลกระทบจากคำสั่งปิดเมืองของภาครัฐ
- การออกแบบโครงสร้างความช่วยเหลือให้ผู้ที่อยู่ในการจ้างงานและธุรกิจที่คงตำแหน่งงาน ได้รับประโยชน์จากมาตรการไม่น้อยไปกว่าการพักงานหรือการเลิกจ้าง เพื่อลดปัญหา Moral Hazard และ
- สนับสนุนให้แรงงานนอกระบบเข้าระบบประกันตนเองในภาคสมัครใจเพิ่มมากขึ้น โดยให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อเป็นแรงจูงใจมากกว่าการสงเคราะห์อุดหนุนจากภาครัฐในแบบเดิม โดยอาจให้หน่วยงานของรัฐจ่ายเงินสมทบ เพื่อลดภาระทางการคลังในอนาคต และเพื่อสร้างฐานข้อมูลด้านการจ้างงานที่ครอบคลุมและถูกต้อง พร้อมต่อการให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีในระยะต่อไป
เร่งสร้างงานในท้องถิ่นและส่งเสริมการเพิ่มทักษะใหม่
นอกจากนี้ ภาครัฐควรมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างเพื่อให้แรงงานยังสามารถรักษาทักษะ มีรายได้ และเพิ่มทักษะใหม่เพื่อรองรับงานประเภทใหม่ได้ ทั้งการขยายการลงทุนในท้องถิ่นเพื่อสร้างตำแหน่งงานใหม่ที่ก่อให้เกิดประโยชน์จริงต่อเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง หรือลงทุนด้านระบบบริหารจัดการน้ำในเขตอุตสาหกรรม อีกทั้งอาจลงทุนในด้านสุขอนามัยและเวชภัณฑ์
มีการจ้างงานด้านสาธารณสุขเพื่อเป็นผู้ให้ความรู้หรือรณรงค์ด้านอนามัย หรือเป็นผู้ช่วยแพทย์และพยาบาล ในห้วงเวลาปัจจุบันที่โรคโควิด-19 และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจจะยังดำรงอยู่ไปอีกพักหนึ่ง และการเสริมทักษะแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง เพื่อให้แรงงานสามารถพัฒนาศักยภาพของตน หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ เพื่อประโยชน์ในการหางานในอนาคตเมื่อสถานการณ์โควิด-19 บรรเทาลง โดยโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นควรมีการปรึกษาร่วมกันทั้งในแง่ความต้องการและความเป็นไปได้กับหน่วยงานท้องถิ่น และอาจเป็นการต่อยอดจากโครงการเดิมหากยังมีอยู่เพื่อสร้างงาน และเพิ่มเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจได้โดยเร็วที่สุด
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์