วันนี้ (28 ตุลาคม) ที่ ห้องวอร์รูม IAC สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ (รอง จตช.) และรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผอ.ศปอส.ตร.) แถลงผลการปฏิบัติการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเน้นย้ำถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในการยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การแถลงครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการลงนามแต่งตั้ง คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ร่วมเป็นคณะกรรมการ และมี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ร่วมขับเคลื่อนงานในฐานะรอง ผอ.ศปอส.ตร.
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ได้เปิดเผยถึง สถานการณ์เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เชื่อมโยง 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย เมียนมา กัมพูชา และลาว โดยในช่วงวันที่ 20 – 26 ตุลาคม 2568 มีเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์หลักที่ส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาค:
1. ปฏิบัติการทางทหารของกองทัพเมียนมาในพื้นที่ ‘เคเคพาร์ก’ (KK Park) ฐานปฏิบัติการขนาดใหญ่ของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ส่งผลให้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 2,000 ราย และแรงงานจำนวนมากหลบหนีเข้าไทย ซึ่งถือเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ขบวนการเร่งย้ายฐานและเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ
2. มาตรการเชิงรุกของไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สั่งการให้สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เร่งระงับการใช้ซิมการ์ดที่ไม่ผ่านการยืนยันตัวตน (KYC) ภายใน 7 วัน เพื่อปิดช่องทางการสื่อสารที่กลุ่มสแกมใช้หลอกลวงประชาชน
3. ความร่วมมือระดับภูมิภาค ในการประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC Secretariat) ไทย-กัมพูชา ซึ่งได้ เห็นชอบกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดน โดยมีประเด็นการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ เป็นหัวข้อหลักของการหารือร่วม
ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (วอร์รูม IAC) ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 26 ตุลาคม 2568 มีเคสที่รับเข้ามาจำนวน 916 เคส มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 559.2 ล้านบาท และสามารถ อายัดเงินได้ทัน 426 เคส มูลค่ากว่า 182.5 ล้านบาท
ในการแถลงข่าววันนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ได้นำเสนอผลการปฏิบัติการที่สำคัญรวม 7 ปฏิบัติการ ดังนี้:
- ปฏิบัติการที่ 1 ‘หยุดเส้นทางสแกมข้ามโขง’: ตำรวจ สภ.เชียงแสน จ.เชียงราย จับกุมขบวนการลอบส่งบัญชีม้า – ซิมม้า ออกไปยังประเทศลาว พร้อมยึดของกลางสมุดบัญชี, บัตรอิเล็กทรอนิกส์ และซิมการ์ดจำนวนมาก
- ปฏิบัติการที่ 2 ‘ตัดวงจรหลอกข้ามแดน’: ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ช่วยเหลือเหยื่อ 13 ราย ที่ถูกหลอกให้มาเปิดห้องพักเตรียมข้ามไปยังประเทศกัมพูชา
- ปฏิบัติการที่ 3 ‘คืนเหยื่อสู่บ้าน’: ตำรวจภูธรภาค 1 ช่วยเหลือ น.ส.พลอยน้ำผึ้งฯ อายุ 27 ปี ที่ถูกหลอกไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปอยเปต กัมพูชา กลับสู่ครอบครัวอย่างปลอดภัย
- ปฏิบัติการที่ 4 ‘สกัดคอลเซ็นเตอร์’: กก.สส.บก.น.6 และ สน.พลับพลาไชย 2 จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวฮ่องกง และสามารถ คืนทรัพย์สินกว่า 1.3 ล้านบาท ให้กับผู้เสียหายสูงวัยที่เกือบตกเป็นเหยื่อ
- ปฏิบัติการที่ 5 ‘191 ทลายฐานแก๊งคอลเซนเตอร์จีน’: กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) เข้าตรวจค้นบ้านพัก ซ.ลาดพร้าว 3 พบหลักฐานเป็นคอมพิวเตอร์ที่มี แบบฟอร์มการพูดหลอกลวงหลายภาษา (อังกฤษ, จีน, สเปน) เชื่อว่าเป็นฐานที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนที่ใช้หลอกลวงนักท่องเที่ยวต่างชาติ
- ปฏิบัติการที่ 6 ‘ปิดจุดเชื่อม Sim Box’: ตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับดีอีเอสและวอร์รูม IAC บุกทลายจุดติดตั้ง Sim Box ที่ อ.เมือง จ.สระแก้ว พร้อมตรวจยึดเครื่อง Sim box ที่สามารถใส่ซิมการ์ดได้ถึง 128 ช่อง/เครื่อง
- ปฏิบัติการที่ 7 ‘สืบสวนเชียงรายขยายผล จับขบวนการม้ากดเงิน’: ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการ ‘ม้ากดเงิน’ เพิ่มเติม 3 ราย พร้อมยึดบัญชีธนาคาร, บัตรเอทีเอ็ม และสมุดบัญชีจำนวนมาก เพื่อปิดเส้นทางฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การปฏิบัติการทั้งหมดนี้เป็นไปตามนโยบายที่ให้ความสำคัญในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์อย่างจริงจัง และเน้นให้มี ผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม
