1 ปีผ่านไป แต่เชื่อว่าหัวใจคนไทยยังคงร้าวรานกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 เมื่อเวลา 18.47 น. สำนักพระราชวังประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต
ในเวลานั้นประชาชนที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และพระรูปหล่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ประดิษฐาน ณ ศาลาศิริราช 100 ปี ต่างพากันร่ำไห้ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศที่ติดตามข่าวความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้
จากนั้นเหล่าพสกนิกรต่างพากันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีพร้อมน้ำตานองใบหน้า และเปล่งเสียงทรงพระเจริญเป็นครั้งสุดท้ายดังกึกก้องทั่วทั้งโรงพยาบาลศิริราช
เช้าวันถัดมา 14 ตุลาคม 2559 ในขณะที่หัวใจของคนไทยยังไม่ถูกเยียวยาจากอาการสูญเสีย สำนักพระราชวังได้เปิดให้พสกนิกรชาวไทยถวายน้ำสรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
ส่วนที่หน้าโรงพยาบาลศิริราช ช่วงเช้ามีประชาชนทยอยเดินทางมาจับจองที่นั่งบริเวณข้างทาง เนื่องจากจะมีการอัญเชิญพระบรมศพออกจากโรงพยาบาลศิริราชสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
เวลา 15.38 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โรงพยาบาลศิริราช โดยมีพสกนิกรชาวไทยนับแสนคนรอรับเสด็จ ตลอดเส้นทางการอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศออกจากโรงพยาบาลศิริราชทางประตู 8 เสด็จพระราชดำเนินผ่านถนนอรุณอมรินทร์ เลี้ยวขวาขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตรงไปเข้าถนนหน้าพระลาน เข้าประตูวิเศษไชยศรี สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
ตลอดระยะทางที่ขบวนรถอัญเชิญพระบรมศพเคลื่อนผ่าน บรรยากาศในห้วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเสียงร่ำไห้ เช่นเดียวกับวันนี้ที่แม้เวลาจะล่วงเลยมาแล้ว 1 ปี แต่ความโศกเศร้าอาลัยยังคงอยู่ดังเดิม
Photo: AFP