นับเนื่องจนป่านนี้ แฟนซีรีส์เกาหลีและรวมถึงบรรดานักดูหนังในช่วงที่ต้องปลีกวิเวกอยู่กับบ้านคงจะได้ดูหนังชุดเรื่อง Kingdom อันโด่งดังทั้งสองซีซันที่เผยแพร่ทางช่อง Netflix กันถ้วนหน้า แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็ยังคงเป็นซีรีส์ที่มีอะไรให้พูดถึงเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไม่ปกติอย่างที่พวกเราทุกคนต้องเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้
ส่วนที่เป็นเหมือนตลกร้ายก็คือ ตอนที่ Kingdom ฤดูกาลแรกซึ่งมีขนาดความยาว 6 ตอน ออกอากาศเมื่อช่วงเดือนมกราคมปีที่แล้ว สถานะของมันก็เป็นเพียงแค่ซีรีส์แนวพีเรียดที่พาผู้ชมย้อนกลับไปช่วงกลางๆ ของราชวงศ์โชซอน หรือราวต้นศวรรษที่ 17 เนื้อหาส่วนหนึ่งว่าด้วยการแก่งแย่งและช่วงชิงราชบัลลังก์ในลักษณะที่ไม่แตกต่างจาก Game of Thrones เนื้อหาอีกส่วนและเป็นอรรถรสสําคัญของหนังชุดนี้ ก็ได้แก่เรื่องตื่นเต้นระทึกขวัญที่เกี่ยวโยงกับซอมบี้ หรือโดยปริยายนี่เป็นรูปแบบความบันเทิงที่พาผู้ชมหลีกลี้หนีโลกความเป็นจริงไปแสนห่างไกล
แต่ในทันทีที่ฤดูกาลที่สองออกฉายช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านพ้นไป ซึ่งพวกเราล้วนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ซีรีส์ชุดนี้ ก็ดูประหนึ่งสูญเสียสถานะของการเกลี้ยกล่อมให้ผู้ชมหลงลืมโลกของความเป็นจริงอันแสนโหดร้ายไปโดยปริยาย และโรคระบาดหรือ Plague ตามที่ตัวละครเอ่ยอ้างถึงในเรื่องก็กลายเป็นคําที่แสลงความรู้สึกของพวกเราซะเหลือเกิน ทั้งหลายทั้งปวง ยังไม่ต้องกล่าวถึงเนื้อหาที่ว่าด้วยความยากแค้นลำเค็ญของเหล่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนตามยถากรรม และมีคุณค่า ความหมายเพียงน้อยนิด หรือแทบไม่มีเลยในสายตาของผู้ปกครองที่ควบคุมบ้านเมืองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ศักดินา และความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางชนชั้น
หรือว่ากันตามจริง ประเด็นหนึ่งที่ซีรีส์เรื่อง Kingdom พูดถึงอย่างต่อเนื่องได้แก่ความอดอยากหิวโหยของผู้คนระดับรากหญ้า และสองฉากในต่างกรรมต่างวาระของซีซันแรกเปิดเผยให้ผู้ชมได้เห็นว่า บรรดาชาวบ้านกลายเป็นคนมูมมามในทันทีที่จู่ๆ พวกเขาก็ได้สวาปามอาหารอันแสนเอร็ดอร่อยที่ดูเหมือนร้อยวันพันปีไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มลอง หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นหญิงสาวยาจกและกําลังตั้งท้องถึงกับแสดงออกอย่างสํานึกและซาบซึ้งด้วยน้ําเสียงละล่ำละลักที่จู่ๆ คนยากไร้อย่างพวกเธอก็ได้รับการเหลียวแล และในขณะที่หญิงคนดังกล่าว รวมถึงคนอื่นๆ ที่ดูเหมือนจู่ๆ ‘บุญก็หล่นทับ’ ไม่อาจ ล่วงรู้ได้ว่าตื้นลึกหนาบางของการเลี้ยงดูปูเสื่อครั้งมโหฬารนี้คืออะไร แต่ก็อย่างที่ผู้ชมน่าจะอนุมานได้ไม่ยากว่าไม่มีของฟรีในโลก และโดยเฉพาะในช่วงทุพภิกขภัยตามท้องเรื่อง และนั่นนําพาให้ราคาค่างวดของมื้ออันสุดแสนโอชะของทั้งสองฉากดังกล่าว (ซึ่งมีต้นสายปลายเหตุแตกต่างกัน) มีมูลค่าที่สุดแสนแพง
และนัยว่าเพื่อให้ผู้ชมได้มองเห็นแง่มุมอันแสนอัปลักษณ์ดังกล่าวอย่างแจ้งชัด ช่วงท้ายตอนที่ 3 ของซีซันแรกก็สอดแทรกไว้ด้วยฉากที่ขุนนางกังฉินที่ทั้งเจ้าเล่ห์ ฉ้อฉลและเห็นแก่ตัว กินอาหารจากสํารับที่ลูกน้องจัดเตรียมให้กับเขาเป็นการเฉพาะอย่างสบายอารมณ์ ต่อด้วยอีกฉากที่เขาและผู้เป็นเจ้านายนั่งละเลียดของว่างอย่างผ่อนคลาย และมันทําให้ผู้ชมได้แต่นึกเร่งวันเร่งคืนว่าเมื่อไรพวกเราจะได้เห็นบทสรุปที่สาสมสําหรับตัวละครนี้ที่มีพฤติกรรมเลวทรามต่ำช้า
แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดจริงๆ ไม่มีใครตะกละตะกลามเท่ากับพวกซอมบี้ในหนังเรื่องนี้อีกแล้ว และภาพที่ผู้ชมได้เห็นอย่างเจนตาเจนใจนับครั้งไม่ถ้วนก็คือห้วงเวลาที่เหล่าซอมบี้นับสิบๆ หรือนับร้อยๆ กลุ้มรุม ‘กินโต๊ะ’ บรรดาเหยื่อเคราะห์ร้ายอย่างหื่นกระหายเมามัน และนับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ซอมบี้ไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่อสูรกายที่อยู่ในสภาวะตายอดตายอยากตลอดเวลา ทว่ามันวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของระบอบที่รีดนาทาเร้นคนระดับล่างผ่านการขูดรีดและเหยียบย่ำในลักษณะต่างๆ นานา และสภาวะระส่ำระสาย รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่สนขื่อแป เพิกเฉยต่อระบบระเบียบ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมของเหล่าซอมบี้ก็น่าจะเป็นทั้งการอุปมาอุปไมยที่ว่าไปแล้ว ไม่ได้ห่างไกลจากโลกของความเป็นจริง และเหนืออื่นใด อุทาหรณ์ที่ย้ำเตือนให้ได้ตระหนักถึงผลพวงของการปกครองแผ่นดินอย่างปล่อยปละละเลยในลักษณะไม่แตกต่างจากมนุษย์ล่องหน ไม่เห็นหัวหรือคํานึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนตาดำๆ มองในแง่มุมหนึ่ง ซอมบี้ตามท้องเรื่องไม่ได้เป็นเพียงแค่โรคร้าย แต่หมายรวมถึงการลุกฮือของกลุ่มคนที่ ‘ไม่มีอะไรจะเสีย’ อีกต่อไป
ไม่ว่าจะอย่างไร ส่วนที่ต้องปรบมือให้อย่างกึกก้องจริงๆ ได้แก่ การผสมผสานหลากหลายแนวเรื่องเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ที่แน่ๆ ก็ได้แก่หนังสยองขวัญสายพันธุ์ซอมบี้ที่ผู้สร้างไม่ต้องแนะนํากฎ กติกา มารยาท ตลอดจนขนบต่างๆ ของหนังแนวนี้อีกต่อไป และจะว่าไปแล้ว ในความเป็น ‘ซอมบี้ 4.0’ ของเหล่าผีดิบในเรื่อง พวกเขาและเธอไม่เพียงแค่วิ่งได้เร็วขึ้น หากยังสวมบทบาทกันอย่างชนิด ‘อินเนอร์มาเต็ม’ และเข้าถึงความเป็นภูตผีปิศาจได้อย่างสุดขีดคลั่งจริงๆ อีกแนว เรื่องหนึ่งซึ่งถือเป็นเสมือนแก่นแกนของซีรีส์อันได้แก่ความเป็นหนังที่ว่าด้วยการขับเคี่ยวทางการเมือง หรือจะเรียกว่า Political Thriller ก็น่าจะได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นโดยมีราชบัลลังก์เป็นเดิมพัน
เผื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นสําหรับใครที่อาจจะยังไม่ได้เริ่มต้นผจญภัยไปในซีรีส์เรื่องนี้ จุดปะทุของเรื่องทั้งหมด โยงใยอยู่กับข่าวลือเรื่องการล้มป่วยและสวรรคตของพระมหากษัตริย์ และมกุฎราชกุมารอีชาง (จูจีฮุน) ผู้ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาล เขาคือผู้สืบทอดสันตติวงศ์ กลับถูกอัครมหาเสนาบดีโชฮักจู (รยูซึงรยง) แห่งตระกูลที่ทรงอิทธิพลในราชสํานัก ตั้งข้อกล่าวหาว่าพระองค์อยู่เบื้องหลังแผนการโค่นล้มราชสมบัติของบิดา นับจากนี้ เนื้อหาแยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเกี่ยวข้องกับการค้นพบขององค์ชายชางว่า ภาวะเจ็บไข้ได้ป่วยของกษัตริย์เป็นโรคระบาดร้ายแรง มันเปลี่ยนคนธรรมดาสามัญให้กลายเป็นผีดิบที่ตะกรุมตะกราม และในฐานะมกุฎราชกุมาร เขาและองครักษ์ตลอดจนจิตอาสาคนอื่นๆ ต้องหาทางยับยั้งสภาวะติดต่อนี้ให้จบสิ้นโดยเร็ว
อีกส่วนก็อย่างที่กล่าว เป็นเรื่องของ ‘พาวเวอร์เพลย์’ ในราชสํานัก ว่าไปแล้ว แผนร้ายของโชฮักจูก็ไม่ได้สลับซับซ้อน และนั่นคือหาทางเปลี่ยนเส้นทางการสืบทอดอํานาจจากมกุฎราชกุมารอีชาง เป็นทายาทที่กําลังจะลืมตามาดูโลกของอัครมเหสีโช (คิมฮเยจุน) ซึ่งเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกสาวของตัวอัครมหาเสนาบดีโชฮักจูนั่นเอง กระนั้นก็ตาม เงื่อนไขสําหรับตัวอัครมหาเสนาบดีโชฮักจูมีสองประการด้วยกัน เขาต้องหาทางประวิงการตายของพระมหากษัตริย์ให้เนิ่นช้าออกไปมากที่สุด และสอง ภาวนาว่าเด็กที่คลอดออกมาจะเป็นผู้ชาย และตรงไหนซักแห่งแถวนี้เองที่ผู้สร้างก็สอดแทรกประเด็นเพศสภาพเข้ามาอย่างน่าสนใจ
หากจะพูดอย่างย่อๆ ซีรีส์เรื่อง Kingdom วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเรื่อง ‘ความศักดิ์สิทธิ์’ ของการมีลูกชายในระดับที่น่าสมเพชเวทนาผ่านหลากหลายเหตุการณ์ (และอย่างที่นักเกาหลีศึกษาน่าจะบอกได้ว่ามันสอดคล้องกับลัทธิขงจื้อที่มีอิทธิพลต่อระบบการปกครองของเกาหลีมาช้านาน) หนึ่งในนั้นได้แก่ฉากที่หญิงสูงศักดิ์นางหนึ่งยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมให้เผาทําลายร่างไร้วิญญาณของลูกชายเพียงคนเดียวของวงศ์ตระกูลในชั่วสามอายุคน แต่สุดท้ายแล้ว อุดมการณ์สุดลิ่มทิ่มประตูของใครคนนี้ก็พัฒนาไปสู่ความหายนะ และแน่นอนว่าพร้อมๆ กับความสลักสําคัญของการเกิดเป็นผู้ชาย มันก็ผูกอยู่กับแนวคิดเรื่องความไม่มีคุณค่าของการเกิดเป็นผู้หญิงด้วยเช่นกัน และวิธีการที่ผู้สร้างถ่ายทอด ‘เนื้อหาส่วนนี้’ ก็ต้องบอกว่าส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้ชมอย่างหนักหน่วงรุนแรง
กระนั้นก็ตาม ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่ยอมจํานน และคนหนึ่งที่แน่ๆ ได้แก่อัครมเหสีโช ผู้ซึ่งในเบื้องต้น ดูเหมือนเธอจะเป็นตัวละครที่ไม่มีปากมีเสียงมากนัก และสถานะของเธอก็ไม่แตกต่างจากหุ่นเชิดที่ผู้เป็นพ่อของเธอชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่จนแล้วจนรอด หนังก็ให้เห็นว่าเธอเองก็มีวาระซ่อนเร้นส่วนตัว และในขณะที่ความร้ายกาจและทะเยอทะยานของตัวละครนี้เทียบเคียงได้กับ ‘นางมารร้าย’ ในหนังฟิล์มนัวร์ ทว่ามันก็ไม่ได้ปราศจากต้นสายปลายเหตุซะทีเดียว และหากใครสํารวจตรวจสอบก็สามารถพบได้ไม่ยากว่ามันเชื่อมโยงอยู่กับความรู้สึกเก็บกด และอัดอั้นของการเกิดเป็นลูกผู้หญิง ซึ่งโดยอัตโนมัติ มันก็ชวนให้สรุปต่อเนื่องได้ว่า นอกจากซอมบี้แล้ว อีกหนึ่งโรคระบาดที่รักษาไม่หายขาดก็ได้แก่ทัศนคติทางเพศที่คับแคบ ซึ่งหยั่งรากฝังลึกอยู่ในวิถีและความนึกคิดของผู้คน
แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าใครจะมองเห็นซีรีส์ชุดนี้ด้วยแว่นขยายแบบใด อย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ก็คือ ชั้นเชิงและลูกล่อลูกชนที่นําพาให้สิ่งละอันพันละน้อยที่ได้รับการถ่ายทอด สะกดทั้งโสตและทัศน์การรับรู้ของคนดูอย่างไม่อาจละวาง ไล่เรียงได้ตั้งแต่การออกแบบฉากแอ็กชันทั้งหลายทั้งปวงที่ช่วยให้ซีรีส์เต็มไปด้วยสัมผัสอันพิเศษและความเป็นตัวของตัวเอง ไปจนถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่เรียกความสนใจอย่างได้ผลชะงัดจริงๆ
หนึ่งในห้วงเวลาตื่นเต้นเขย่าขวัญที่ส่วนตัวชอบมากๆ ได้แก่ ฉากนักโทษสองคนที่ลําคอของพวกเขาถูกล็อกไว้ด้วยขื่อไม้ความยาวราวๆ สองเมตร แล้วจู่ๆ หนึ่งในนั้นก็ติด เชื้อและกลายเป็นซอมบี้ทีละน้อย สถานการณ์ก็พัฒนาไปอย่างที่เรียกเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเสียสติและบ้าคลั่ง อีกทั้งยังตอกย้ำความสําคัญของการเว้นระยะห่างทางสังคมหรือ Social Distancing อย่างชนิดชวนหัวซะเหลือเกิน
ทั้งหลายทั้งปวงที่สาธยายมาอย่างยืดยาวก็เพียงเพื่อที่จะสรุปว่า สําหรับพวกเราทุกคนซึ่งกําลังตกที่นั่งเดียวกัน และนั่นคือเต็มตื้นกับข่าวร้ายเรื่องโรคระบาดที่ประดังเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน Kingdom เป็นซีรีส์ขนาดความยาว 12 ตอน ที่น่าจะช่วยให้ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลําบากนี้ไปได้อย่างเพลิดเพลิน
KINGDOM (2019- )
กํากับ-คิมซองฮุน, จองอึนเจ ผู้แสดง-จูจีฮุน, รยูซึงรยง, แบดูนา, คิมฮเยจุน, จุนซอกโฮ, คิมซังโฮ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์