**บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาในซีรีส์ Kingdom ซีซัน 2**
“โทษของกลุ่มแฮวอนโจนั้นหนักหนา กดขี่ราษฎรจนผู้คนตกอยู่ในความอดอยาก ความโลภของกลุ่มแฮวอนโจทำให้เกิดโรคระบาดน่าขนลุกนี้ขึ้น จงเปิดหูเปิดตาของพวกเจ้า รับฟังเสียงของราษฎร มองภาพอันสยดสยองของแผ่นดินนี้ ถึงเวลาต้องเลือกหนทางที่ถูกต้องแล้ว” – องค์รัชทายาทอีชาง
THE STANDARD POP เคยนำเสนอบทความนี้ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 ในช่วงที่โควิด-19 รอบแรกระบาดหนัก พร้อมๆ กับซีรีส์เรื่อง Kingdom ภาค 2 ที่เพิ่งออกอากาศ ซึ่งเป็นช่วงที่แฮชแท็ก #ผนงรจตกม กำลังถูกพูดถึงในประเทศไทยขึ้นมาพอดี
ตอนนั้นเรานำเสนอว่า แม้ไม่อยากคิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเรื่องราวการต่อสู้กับกองทัพผีดิบในยุคโชซอนทำให้เราหยุดนึกถึงแฮชแท็กนี้ไม่ได้ เพราะหลายๆ เรื่องราวโดยเฉพาะภาพการบริหารงานล้มเหลวของคนระดับผู้นำประเทศในซีรีส์ ซ้อนทับหลายๆ เหตุการณ์ในประเทศไทยราวกับเป็นเรื่องเดียวกัน
เวลา 1 ปี 1 เดือนผ่านไป ขณะที่ซีรีส์ Kingdom ซีซัน 3 อยู่ในระหว่างถ่ายทำ เพื่อนำเสนอเรื่องราวการต่อสู่กับกองทัพผีดิบที่ ‘ก้าวไปข้างหน้า’ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกลับ ‘ย่ำถอยหลัง’ ไปกับกับการป้องกันการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ที่ยอดผู้ติดเชื้อทำนิวไฮ (New High) แข่งกับราคาคริปโตเคอร์เรนซี สวนทางกับเตียงผู้ป่วยที่ไม่เพียงพอ
เพราะระบบบริหารจัดการที่ไม่เคยนำบทเรียนการระบาดครั้งก่อนมาพัฒนา เหมือนฉายภาพซีรีส์ #ผนงรจตกม ซีซันใหม่ ที่มีแต่ตัวละครผู้นำหน้าเดิมมาทำพฤติกรรมซ้ำๆ ไร้การเรียนรู้และพัฒนา จน #ผนงรจตกม อาจไม่ใช่แค่ ‘มีม’ เอาไว้พูดกันตลกๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ
Kingdom ซีซัน 2 เล่าเรื่องต่อจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของกองทัพผีดิบในซีซันแรกที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก เสนาบดีโจฮักจู (รับบทโดย รยูซึงรยง) ใช้สมุนไพรคืนชีพชุบชีวิตพระราชาให้ฟื้นขึ้นมาในร่างผีดิบเพื่อรักษาฐานอำนาจเดิมของกลุ่มแฮวอนโจเอาไว้ รอจนกว่าลูกสาวที่มีศักดิ์เป็นพระมเหสี (รับบทโดย คิมฮเยจุน) ให้กำเนิดทายาทที่เป็น ‘ผู้ชาย’ มาสืบราชบัลลังก์
เป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อไปยังประชาชนที่อยู่ทางแผ่นดินฝั่งตะวันตก และลุกลามไปในหลายๆ พื้นที่ โดยมีคำพูดติดปากที่เป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมว่าที่ทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อ ‘ความสงบสุขของแผ่นดินและประชาชน’
ซ้ำร้ายกว่านั้นคือในฐานะผู้นำประเทศ แทนที่จะรีบยุติปัญหาให้เร็วที่สุด โจฮักจูกลับใช้การระบาดของฝูงผีดิบเป็นเครื่องมือกำจัดองค์รัชทายาทอีชาง (รับบทโดย จูจีฮุน) โอรสของพระราชากับนางสนมที่มีสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์มากที่สุด ณ ขณะนั้น โดยไม่สนใจชีวิตของชาวบ้านที่ติดตามองค์รัชทายาทมาด้วย
“มีดของพวกมันจ่อคอพวกเราอยู่ ต้องลงโทษให้เร็วที่สุดเพื่อสร้างระเบียบให้กับแผ่นดินนี้”
ในช่วงเวลาที่สถานการณ์เลวร้ายลงไปทุกที โจฮักจูก็ยังคงอ้างเรื่อง ‘ความสงบ’ มาสร้างวาทกรรมซ้ำๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการรักษาอำนาจของตัวเองต่อไป
ในขณะที่โจฮักจูเน้นใช้คำพูดและอำนาจที่ถือครองเบ็ดเสร็จจัดการกับศัตรูทางการเมือง อีชางกลับเป็นผู้นำที่พูดน้อย เพราะต้องเอาเวลาไปวิ่งหนี ต่อสู้กับผีดิบ สืบหาความจริง และช่วยเหลือประชาชนโดยรอบ
“ข้าจะลงโทษโจฮักจูที่เพิกเฉยต่อความอดอยาก ครอบครองในสิ่งที่ไม่ควรครอบครอง เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้รอดพ้นจากความอดอยาก ข้าต้องมีชีวิตรอดเพื่อสร้างโลกใบใหม่ที่สงบสุขขึ้นมา”
เขาพูดไม่บ่อยแต่ก้มหน้าก้มตาลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จนหลายครั้งเขาทำได้เพียงมองเห็นคนเสียสละชีวิตให้เขามีชีวิตรอดต่อไปเพื่อเป้าหมายใหญ่ในอนาคต แม้กระทั่งตอนที่ถูก ‘ใส่ร้าย’ ติดป้ายให้เป็นกบฏจากข้อหาสังหารพระราชาที่เป็นพระราชบิดาของตัวเอง เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ แม้ในหัวใจจะเจ็บปวดแหลกสลายเพียงใดก็ตาม
แม้เต็มไปด้วยอุปสรรคที่อันตราย แต่ด้วยความจริงจังและจริงใจในการแก้ปัญหา ทำให้คนข้างกายของอีชางก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวผู้นำ และพร้อมร่วมเดินไปบนเส้นทางนี้จนถึงที่สุด
เราได้เห็น ยองชิน (รับบทโดย คิมซองกยู) บุรุษปริศนาที่คิดแต่เรื่องการแก้แค้นขอร่วมเดินทางไปด้วย เพราะเชื่อว่าอีชางคือคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ รวมทั้ง โจบอมพัล (รับบทโดย จอนซอกโฮ) เจ้าเมืองผู้แสนขี้ขลาดแห่งเมืองทงเร ก็ยอมสวามิภักดิ์ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้แต่หวาดกลัวอยู่ใต้เงาของโจฮักจูมาโดยตลอด
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจของอีชางคือการเป็นผู้นำที่เลือกใช้บุคลากรตามความเชี่ยวชาญอย่างเหมาะสม เขาเชื่อ อาจารย์อันฮยอน (รับบทโดย ฮอจุนโฮ) ที่เชี่ยวชาญด้านการรบเวลาตั้งทัพรับมือกองทัพผีดิบ
ให้ หมอหญิงซอบี (รับบทโดย แบดูนา) ที่มีความรู้ด้านการแพทย์ดูแลด้าน ‘สาธารณสุข’ สืบหาต้นตอของปัญหา และหาวิธีหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรคนี้ให้ได้
แบ่งการทำงานเป็นสัดส่วน ทหารดูแลเรื่องการรบ หมอดูแลเรื่องการรักษา ไม่ใช่ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างมาดูแลเรื่องสาธารณสุข และให้นักกฎหมายเป็นคนออกมาประกาศสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคติดต่อ
และที่สำคัญคือวิเคราะห์และยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง หากวิกฤตนั้นน่ากลัวก็ยอมรับว่าน่ากลัวและหาวิธีการแก้ปัญหา ไม่ใช่ทำเป็นมองโลกในแง่ดี บอกว่าเหตุการณ์ยังอยู่ในระดับ 2 ตามเกณฑ์ที่ ‘กำหนด’ ขึ้นมาได้เอง
ในขณะที่ฝังโจฮักจูรายล้อมไปด้วยขุนนางชราผู้โง่เขลา เอนเอียงปกป้องผู้นำแบบไม่ลืมหูลืมตา ตอนที่มีคนแจ้งแผนการของพระมเหสี แทนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบความจริงก็ยังปิดหูปิดตา แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วบอกว่าจะ ‘ฟ้องหมิ่นประมาท’ กับคนที่นำความจริงมาเปิดเผย ทั้งที่เรื่องนี้เป็นความผิดร้ายแรงที่ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด
กว่าที่ขุนนางทั้งหลายจะ (ถูกความจริงบังคับให้) คิดได้ สถานการณ์ก็บานปลายจนถึงจุดที่มีคนปล่อยผีดิบให้ออกมาอาละวาดในวังหลวง และก็เป็นอีกครั้งที่อีชางแสดงภาวะของผู้นำที่ตัดสินอย่างรอบคอบ เด็ดขาด และรวดเร็ว ด้วยการสั่งปิดประตูพระราชวังทั้งหมด และรวบรวมกำลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิดจัดการกับเหล่าผีดิบไม่ให้ออกไปทำร้ายผู้คนภายนอกด้วยตัวเอง
แสดงให้เห็นถึงลักษณะของคนที่เป็น #ทองแท้ไม่กลัวไฟ ของจริงด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องสร้างภาพ หรือรอให้ใครมาให้กำลังใจ
ทันทีที่เรื่องราวใน Kingdom ซีซัน 2 ดำเนินมาถึงตอนจบ เราก็อดคิดถึงผู้นำจาก ‘ละคร’ อีกเรื่องหนึ่ง ที่เวลาบ้านเมืองมีปัญหา มักจะออกมา ‘แถลง’ ทำนองว่าประชาชนเป็นต้นตอของปัญหา ‘การ์ดตก’ ทำให้รัฐบาลต้องทำงานหนัก
ประชาชนในละครเรื่องนั้นต้องบอบช้ำซ้ำๆ จากการบริการจัดการที่ล้มเหลวของผู้นำประเทศขี้หงุดหงิดที่เอาสเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดใส่นักข่าว, เวลา ‘แถลงข่าว’ ยังอ่านชื่อวัคซีนผิดเหมือนไม่เคยซ้อมมาก่อน, พอมีคนเสียชีวิตเพราะไม่มีเตียงรักษาก็ออกมาบอกว่าทุกคนเป็นเหมือน ‘ครอบครัว’ จนเราต้องแปะเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ว่า เราจะปฏิบัติกับคนในครอบครัวของเราเช่นนี้จริงๆ หรือ
รวมทั้งผู้นำด้านสาธารณสุข ‘คนเก่ง’ (ใช้เวลา 5 วัน มีคนยื่นชื่อขอให้ลาออกจากตำแหน่งมากกว่า 150,000 ชื่อ) ที่ตั้งแต่ครั้งก่อนบอกว่าโควิด-19 เป็นโรคกระจอก, เคยมั่นใจในวัคซีนจากไม่กี่บริษัท บอกว่าถ้านับตามอัตราส่วนของประชากร ประเทศไทยก็วัคซีนไม่แพ้ใครในโลกนี้ จนล่าสุดต้องรีบกลับไปเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ พร้อมกับประโยคทอง (แท้แต่กลัวไฟ) ว่า
“จะให้กราบเขา เพื่อให้ส่งเร็วที่สุดก็จะทำ”
ยิ่งติดตามข่าวก็ยิ่งหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ จนเราเริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่า อะไรเป็นของที่หายากกว่ากัน ระหว่าง ‘สมุนไพรคืนชีพ’ ที่เป็นของวิเศษในซีรีส์ Kingdom กับ ‘ความจริงใจ’ และ ‘ความสามารถ’ ในการบริหารจัดการวิกฤตโควิด-19 ซึ่งควรเป็นพื้นฐานที่รัฐบาลควรมี
แต่ที่แน่ๆ คือเรารู้สึกจริงๆ ว่า #ผนงรจตกม ไม่ใช่แค่มุกเอาไว้พูดกันตลกๆ รวมทั้งอีกแฮชแท็กหนึ่งที่ว่า #ผนตรจรกม ก็อาจไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงก็เป็นได้
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ