เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ศาลจังหวัดกระบี่ได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีที่ ‘บังฟัต’ หรือ นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์สกุล พร้อมพวกรวม 8 คน หลังตกเป็นจำเลยร่วมกันฆ่า นายวรยุทธ สังหลัง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ตำบลบ้านกลาง อำเภออ่าวลึก พร้อมครอบครัวและญาติๆ รวม 8 ศพ บาดเจ็บ 3 ราย ภายในบ้านพักของนายวรยุทธ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2560
สำหรับจำเลยทั้ง 8 ราย ประกอบด้วย
- นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์สกุล หรือ บังฟัต
- นายคมสรรค์ เวียงนนท์
- นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ
- นายอรุณ ทองคำ
- นายประจักษ์ บุญทอย
- นายธนชัย จำนอง
- นายธวัฒชัย บุญคง
- นางสาวชลิดา สังขโชติ
ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยเนื้อหาคำพิพากษาโดยสรุปคือ ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-6 และให้จำคุกจำเลยที่ 7 จำนวน 1 ปี 9 เดือน ให้จำคุกจำเลยที่ 8 จำนวน 12 เดือน
คำพิพากษาของศาลระบุรายละเอียดว่า แม้จำเลยที่ 1-6 จะรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา แต่มีพฤติกรรมร่วมกันใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้ตายทั้ง 8 และผู้รอดชีวิต เพื่อปิดปากถึง 11 คน ซึ่งมีทั้งผู้หญิง เด็กอายุเพียง 4 ปี, 11 ปี, 12 ปี รวมอยู่ด้วย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8 คน นับเป็นเหตุการณ์เศร้าสลด หดหู่ใจ และสะเทือนขวัญแก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง
จำเลยดังกล่าวเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นมาเองและลงมือกระทำความผิดอย่างอุกอาจ โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ จึงสมควรไม่ลดโทษให้ และเมื่อลงโทษในฐานความผิดปล้นทรัพย์ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ถึงขั้นประหารชีวิตแล้ว จึงไม่ต้องนำโทษในกระทงอื่นๆ มารวมด้วย พิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 1-6 สถานเดียว
ส่วนจำเลยที่ 7 มีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนไปในทางหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต และบุกรุก จำเลยที่ 8 มีความฐานซ่องโจร และแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานกรณีจัดหาเสื้อทหาร
ขณะที่บรรยากาศในวันนี้มีญาติของผู้เสียชีวิต ญาติจำเลย และ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. นำทีมนายตำรวจระดับสูงมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง
มนตรี อุดมพงษ์ ผู้สื่อข่าวที่เกาะติดคดี ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีเหตุสะเทือนขวัญนี้ว่า ผู้ต้องหาสารภาพ โดยมีสาเหตุจากหนี้สิน และเป็นหนี้สินที่มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือการขายและขายฝากโฉนด 2 แปลงของครอบครัวผู้ตาย
หากย้อนไปจุดเริ่มต้นตามการสารภาพคือ บังฟัตเป็นนายหน้า หาลูกค้าให้นายทุนปล่อยเงินกู้ผ่านการขายฝาก หรือขายที่ดิน
เดิมครอบครัวของภรรยาผู้ใหญ่บ้านนำโฉนดที่ดิน 2 แปลงไปขายฝากกับนายทุนคนหนึ่งในจังหวัดกระบี่ที่บังฟัตเป็นนายหน้าให้ เมื่อได้เงินแล้วครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็นำไปใช้ซ่อมแซมบ้านเรือน ขณะเดียวกันก็นำเงินไปต่อสัญญา และไถ่ถอนการขายฝากอยู่เป็นระยะ ทำให้การขายฝากของครอบครัวผู้ตายไม่เกิดปัญหา
ต่อมาครอบครัวผู้ตายต้องการเงินเพิ่มมากขึ้น และเห็นว่าที่ผ่านมาการนำโฉนดไปขายฝากนั้น นายทุนให้เงินกู้มาน้อย จึงขอตกลงกับบังฟัตในฐานะนายหน้าว่า จะขอขายที่ดินนี้ให้บังฟัตเลยได้ไหมในลักษณะการขายขาด ให้โฉนดเป็นของบังฟัต เพื่อจะได้กู้เงินในราคาที่สูงขึ้น และเมื่อจ่ายหนี้พร้อมดอกเบี้ยแล้ว ก็จะให้บังฟัตโอนโฉนดคืน ทุกฝ่ายจึงตกลงปลงใจ บังฟัตได้โฉนด ส่วนครอบครัวผู้ใหญ่ได้เงินกู้ และก็ผ่อนหนี้เรื่อยมา
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อพบว่า ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านผ่อนหนี้บังฟัตจนหมด แล้วต้องการโฉนดที่ดินคืน แต่ปรากฏว่าโฉนดนี้ไปถูกนำไปจำนองกับธนาคารแล้วโดยชื่อบังฟัตเอง และบังฟัตไม่มีเงินมากพอจะไปไถ่ถอนจำนองคืนมา ซ้ำยังไม่จ่ายหนี้ให้ธนาคาร
วันหนึ่งธนาคารมาทวงหนี้ถึงบ้าน และติดประกาศจะมายึดทรัพย์ที่จำนอง ซึ่งก็คือบ้านที่ผู้ใหญ่บ้านอยู่อาศัยพร้อมลูกเมีย
ทำให้ผู้ใหญ่บ้านโกรธแค้นที่บังฟัตไม่จ่ายเงินธนาคาร และอาจถูกยึดที่ดิน จึงทวงถามโฉนดจากบังฟัตเรื่อยมา แต่บังฟัตก็ไม่สามารถหาเงินไปไถ่จำนองโฉนดมาคืนได้ จนเกิดทะเลาะกับผู้ใหญ่บ้านที่อาฆาตว่าหากบังฟัตไม่นำโฉนดมาคืน ลักษณะเหมือนจะโกงแล้วละก็ บังฟัตจะไม่มีโอกาสมาเก็บเงินกับลูกหนี้คนอื่นๆในหมู่บ้านนี้อีก
นี่คือส่วนหนึ่งที่บังฟัตสารภาพว่าเป็นสาเหตุแห่งความโกรธแค้น จึงต้องวางแผนดักอุ้มฆ่าผู้ใหญ่บ้านหลายครั้ง จนนำไปสู่การบุกยิงในบ้านหลังดังกล่าว
หลังมีคำพิพากษา นายเกรียงศักดิ์ สารภี ทนายความของกลุ่มจำเลยเปิดเผยว่า บังฟัตและกลุ่มผู้ต้องหาไม่พอใจกับคำตัดสิน และขอใช้สิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วันเพื่อต่อสู้คดีต่อไปทั้ง 8 คน
อ้างอิง: