วันนี้ (7 ตุลาคม) ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นผู้บริโภคใน ‘โครงการคนละครึ่งพลัส’ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง, ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันแถลงข่าว
เอกนิติระบุว่า โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ สู้ภัยเศรษฐกิจ และส่งเสริมให้ประชาชนได้จับจ่ายใช้สอย เนื่องจากในไตรมาสที่ 4 มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง โครงการนี้จึงเป็นโครงการเรือธงที่มาเสริมบัตรสวัสดิการที่เติมเงินไปตามมติ ครม. เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เอกนิติกล่าวว่า โครงการดังกล่าวมีหลักการคือ ‘กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว’ โดยจะช่วยลดรายจ่ายให้ประชาชน 20 ล้านสิทธิ ซึ่งรัฐจะสมทบค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง และช่วยให้ร้านค้ารายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้น สำหรับ ‘ผลยาว’ คือการ ‘พลัส’ ในหลายมิติ
พลัสที่ 1: เพิ่มช่วงอายุ ขยายช่วงอายุตั้งแต่ 16 ปี สามารถเข้าร่วมโครงการได้
พลัสที่ 2: เพิ่มวงเงินใช้จ่าย รัฐเติมเพิ่มจาก 150 บาท/วัน เป็น 200 บาท/วัน
พลัสที่ 3: เพิ่มสิทธิพิเศษ เพิ่มสิทธิ สร้างแรงจูงใจ ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีได้ 2,400 บาท
พลัสที่ 4: เพิ่มโอกาสให้โอกาส คนตัวเล็ก ร้านค้า Micro SME เข้าร่วมโครงการได้
พลัสที่ 5: เพิ่มทักษะ ส่งเสริมให้ร้านค้าพัฒนาทักษะ Upskill/Reskill ในระยะต่อไป
เอกนิติระบุอีกว่า ทั้งหมดเป็นไปตามแนวคิด Quick Big Win ฉะนั้น วันนี้จึงจะใช้แอปฯเป๋าตัง และถุงเงิน ที่ประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้วมาใช้ในโครงการ ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที
สำหรับแหล่งเงินของโครงการนั้น ใช้งบประมาณเดิมจากที่รัฐบาลได้อนุมัติในปี 69 วงเงิน 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 44,000 ล้านบาท ครึ่งหนึ่งจากส่วนของรัฐ และอีกครึ่งหนึ่งมาจากประชาชน 44,000 ล้านบาท และเมื่อรวมเงินที่เติมบัตรสวัสดิการ 23,000 ล้านบาทแล้วจะมีมูลค่ารวมประมาณ 100,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.3-0.4 % ของ GDP
ร้านค้าเก่าไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ยืนยันไม่เก็บภาษี
ทั้งนี้ ในวันที่ 15 ตุลาคม-19 ธันวาคม 68 จะเปิดให้ร้านค้าใหม่ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ส่วนร้านค้าเดิมที่เคยอยู่ในโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ โดยให้อัปเดตแอปฯ เป๋าตัง ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพียงกดเมนู ‘คนละครึ่งพลัส’ แล้วกด ‘ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข’ ในแอปฯถุงเงิน ก็จะสามารถเริ่มใช้จ่ายในวันที่ 29 ตุลาคม 68
ส่วนที่ร้านค้ามีความกังวลเรื่องการจัดเก็บภาษีย้อนหลัง เอกนิติยืนยันว่า จะไม่มีการนำรายได้จากโครงการนี้เข้าสู่ระบบภาษีแน่นอน
ประชาชนเริ่มใช้สิทธิ 11 พ.ย. 68 สั่งผ่านแอปออนไลน์ได้
สำหรับประชาชนจะเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการวันที่ 20-26 ตุลาคม 68 และเริ่มใช้โครงการใน วันที่ 29 ตุลาคม-31 ธันวาคม 68 โดยผู้ใช้สิทธิจะต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน เวลา 23.00 น. เพื่อไม่ให้โดนตัดสิทธิตามเงื่อนไขของโครงการ โดยเชื่อว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยจากการติดหล่มในช่วงไตรมาสที่ 4 ได้
อย่างไรก็ตาม ในโครงการคนละครึ่งพลัส สามารถใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน- 31 ธันวาคม 68 สำหรับประชาชนให้ใช้สิทธิผ่านแอปฯเป๋าตังเท่านั้น โดยสามารถสั่งอาหารได้ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. ของทุกวัน และสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ
ขณะที่ผู้ประกอบการนั้น ร้านค้าในโครงการคนละครึ่งพลัส ต้องกดสมัคร Food Delivery ผ่านแอปฯ ถุงเงินให้สำเร็จก่อน จากให้เลือกผูกแพลตฟอร์ม Food Delivery ผ่านแอปฯ ถุงเงิน ได้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 68 เวลา 06.00-23.00 น. เฉพาะร้านค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น
ไทม์ไลน์ ‘คนละครึ่งพลัส’
- 15 ตุลาคม-19 ธันวาคม 2568: เปิดลงทะเบียนร้านค้า
- 20-26 ตุลาคม 2568: เปิดลงทะเบียนสำหรับประชาชนทั่วไป
- 29 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2568: เริ่มใช้จ่าย ‘คนละครึ่งพลัส’ ใช้จ่ายได้ทันที หากใช้ไม่ถึง 200 บาท สามารถสะสมได้
คุณสมบัติ
- เป็นผู้มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
- มีบัตรประจำตัวประชาชน
- ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ตุลาคม 68
- ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1-5
ช่องทางลงทะเบียน ‘คนละครึ่งพลัส’
- แอปฯ เป๋าตัง
- เว็บไซต์คนละครึ่ง
- ธนาคารกรุงไทย
ทั้งนี้ เมื่อลงทะเบียนสำเร็จ ระบบจะแจ้งว่าเราอยู่ในกลุ่มใด ได้สิทธิเท่าไหร่
ใครได้สิทธิ ‘คนละครึ่งพลัส’ บ้าง
กลุ่มคน 20 ล้านสิทธิ ประกอบด้วย
- กลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี: ได้สิทธิรวม 2,000 บาท
- กลุ่มที่อยู่ในระบบภาษี: ได้สิทธิรวม 2,400 บาท