จากกรณีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568
โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายปี 2551 โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ คือ ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการเพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาห้ามขาย (ช่วงเวลา 00.00 น.-11.00 น. และช่วง 14.00-17.00 น.)
โดยผู้ฝ่าฝืนมีความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท (ทั้งผู้ขาย-ผู้บริโภค) ซึ่งประเด็นดังกล่าวสร้างความสับสนต่อผู้ประกอบการและกลุ่มนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย
สง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ พ.ศ. 2568 เป็นการควบคุมที่ไม่สมเหตุสมผล และสะท้อนถึงความไม่เข้าใจธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวของรัฐบาล เพราะในภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แต่กลับมีการออกข้อจำกัดที่กดทับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวแทนที่จะส่งเสริม
“กฎหมายที่กำหนดให้ร้านค้าต้องหยุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และให้นักท่องเที่ยวออกจากร้านภายในเวลาเที่ยงคืน เป็นมาตรการที่ไม่ Make Sense เพราะแทนที่จะเปิดโอกาสให้ลูกค้านั่งใช้จ่ายต่อเนื่อง กลับจำกัดเวลาและรายได้ของผู้ประกอบการโดยตรง”
แน่นอนว่า ผลกระทบจากข้อจำกัดดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว เมื่อสถานทูตออสเตรเลียออกคำเตือนให้นักท่องเที่ยวของประเทศตัวเอง ระมัดระวังเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย โดยคาดว่าอาจมีสถานทูตของประเทศอื่น เช่น สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ออกคำเตือนในลักษณะเดียวกันตามมา ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในสายตานักเดินทางต่างชาติ
ทางฝั่งรัฐบาลจึงควรเตรียมประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับสถานทูตต่างๆ เพื่อป้องกันการออกคำเตือนเพิ่มเติม เพราะหากเกิดการจับกุมหรือปรับนักท่องเที่ยวจริงหลังเที่ยงคืน และเรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านสื่อหรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศโดยตรง
สง่า กล่าวต่อว่า ในวันนี้ (12 พฤศจิกายน 2568) เวลา 10.30 น. ที่ผ่านมา เครือข่ายสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริการกว่า 8 สมาคม ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนและยกเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะข้อกำหนดเรื่องเวลาจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568
ส่วนในจดหมายที่สมาคมฯ ยื่นต่อรัฐบาล มีข้อเสนอหลัก 3 ข้อ ได้แก่
- ยกเลิกข้อห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเวลา 14.00-17.00 น.
- ยกเลิกโทษปรับ 10,000 บาท สำหรับร้านค้าที่เปิดเกินเวลาเที่ยงคืน
- ขยายเวลาเปิดสถานบริการได้ถึง 01.00 น. เพื่อรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยว
พร้อมอธิบายว่า กฎหมายเก่าที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น. ใช้มานานกว่า 50 ปี ตั้งแต่ปี 2515 ซึ่งไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคและรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน ขณะที่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ ใบอนุญาตสถานบริการไม่เคยมีการออกให้ใหม่มานานกว่า 20-30 ปี ทำให้ผู้ประกอบการที่ต้องการดำเนินธุรกิจอย่างถูกกฎหมาย ไม่สามารถขออนุญาตได้
ผลลัพธ์คือ ธุรกิจจำนวนมากต้องอยู่ในสภาวะการทำธุรกิจแบบเทา ๆ หรือ กึ่งผิดกฎหมาย โดยประมาณ 80-90% ของร้านอาหาร ผับ และบาร์ ไม่มีใบอนุญาตสถานบริการ เนื่องจากภาครัฐไม่เปิดให้ขอใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องลักลอบเปิด ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะส่งเสริมให้ดำเนินกิจการอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ ทางฝั่งโฆษกรัฐบาล ระบุว่า จะนำข้อเสนอทั้งหมดเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (13 พ.ย.) เพื่อพิจารณานโยบายต่อไป โดยคาดว่าการดำเนินการอาจแล้วเสร็จก่อนวันที่ 4 ธันวาคมนี้
สง่า ยังเตือนว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ผู้ประกอบการกว่า 70 – 80% อาจเลือกไม่สนใจ และดื้อแพ่ง จำเป็นต้องเปิดร้านต่อไป เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ เพราะปัจจุบันต้องแบกรับต้นทุน ทั้งค่าเช่า ค่าพนักงาน และค่านักดนตรี
และภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ร้านอาหารหรือบาร์ที่เปิดให้บริการเกินเวลาเที่ยงคืน ถือว่าผิดกฎหมาย ยกเว้นร้านที่อยู่ในพื้นที่โซนนิ่งที่ได้รับอนุญาต เช่น ในโรงแรม, หรือ มีใบอนุญาตสถานบริการถูกต้อง ซึ่งในกรุงเทพฯ มีโซนนิ่งลักษณะนี้เพียง 2 เขตเท่านั้น
ทำให้ร้านที่อยู่นอกพื้นที่ดังกล่าวกว่า 80% ถูกบังคับให้ปิดเที่ยงคืน ทั้งที่ภาครัฐยังไม่เปิดให้ขอใบอนุญาตใหม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องดำเนินธุรกิจภายใต้ข้อจำกัดที่ไม่สอดคล้องกับสภาพจริงของตลาด
“การให้ร้านขายได้เพียง 2 ชั่วโมง (22.00-23.59 น.) แล้วต้องไล่ลูกค้าออก มันไม่ Make Sense เลย” สง่าย้ำ พร้อมตั้งคำถามถึงความย้อนแย้งของกฎหมายที่กำหนดโทษปรับสูงถึง 10,000 บาท แต่กลับมีเจ้าหน้าที่บางคนออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอาจปรับเพียง 100 บาท แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจะออกกฎหมายมาทำไม”


