หากใครติดตามเทนนิสมาเป็นเวลานาน จะจำช่วงเวลาหนึ่งได้ว่า เราเคยมีบิ๊กทรี ที่เล่นเทนนิสในระดับที่เหนือชั้นและมีสไตล์ที่โดดเด่นเป็นของตัวเองทั้งหมด ทั้ง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล และ โนวัค โยโควิช ที่พวกเขาต่างสลับกันคว้าแชมป์แกรนด์สแลมกันแบบที่เหมือนฟุตบอล ที่มีสนามบางสนามเป็นสนามประจำตัว ทั้ง โรเจอร์ที่วิมเบิลดัน ราฟาเอล นาดาลที่ โรลังด์ การ์รอส และ โนวัค ที่ออสเตรเลียน โอเพ่น
แต่ในช่วงเวลาที่พวกเขาเหล่านั้นเริ่มโรยรา เราก็ต้องถามกันว่าแล้วยุคต่อไปจะเป็นของใคร ในเมื่อช่วงนั้นคลื่นลูกใหม่ของนักเทนนิสชายที่ขึ้นชื่อว่า New Gen หลายคน ต่างพัดพาเข้ามาสู่ชายฝั่ง
แต่ก็ถูกโฟร์แฮนด์สุดสวยของโรเจอร์โต้กลับลงทะเลไป หรือโดนลูกรีเทิร์นสุดเด็ดขาดของโนวัค ที่เร็วจนคนเสิร์ฟตั้งตัวไม่ทัน และเทนนิสที่ดุดันของนาดาลเล่นงานจนหายไปกับดินทรายที่โรลังด์ การ์รอส
แต่ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นแล้วว่าถึงเวลาของยุคสมัยใหม่อย่างแท้จริง เมื่อแชมป์แกรนด์สแลม 8 รายการล่าสุด มีนักเทนนิสชายเดี่ยวเพียง 2 คนที่แชมป์แบ่งกันไปคนละ 4 รายการ และสองคนนั้นก็คือ ยานนิค ซินเนอร์ และ คาร์ลอส อัลการาซ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006–2007 ที่มีผู้เล่นเพียงสองคนผลัดกันครองบัลลังก์แกรนด์สแลมแบบต่อเนื่อง หลังจากที่เฟเดอเรอร์และนาดาลเคยทำได้
Alcaraz vs Sinner กับเทนนิสที่เหนือชั้นกว่าทุกคน
การสลับกันคว้าแชมป์แกรนด์สแลมอยู่เพียง 2 คน ไม่ใช่แค่บ่งบอกว่าพวกเขาเก่งที่สุดในเวลานี้ แต่ยังบ่งบอกถึงความห่างชั้นกับนักเทนนิสชายคนอื่น ๆ ในรุ่นอีกด้วย ถึงขนาดที่ว่า โนวัค ยอโควิช The Old Guard คนสุดท้ายของยุคสมัยก่อน มาได้ถึงแค่รอบรองชนะเลิศทุกรายการของแกรนด์สแลมปีนี้ ก่อนจะแพ้ให้กับซินเนอร์ไปที่เฟรนช์ โอเพ่น และที่วิมเบิลดัน รวมถึงล่าสุดที่ยูเอสโอเพ่นก็พ่ายให้กับ อัลการาซ
ความโชคร้ายของโนวัคที่กำลังไล่ล่าแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 25 ตอนอายุ 38 ปี คือการที่ทั้งยานนิค ซินเนอร์ และ อัลการาซ เป็นมือหนึ่งและมือสองของโลกสลับกัน ดังนั้น สายของเขายังไงก็ต้องเจอคนใดคนหนึ่งในรอบรองชนะเลิศ และในรอบชิงก็มีโอกาสสูงมากที่จะต้องเจอกับอีกคนที่รออยู่
โดยสไตล์การเล่นเทนนิสของทั้งสองอยู่ในระดับที่สูง จนนักวิเคราะห์เทนนิสจากต่างประเทศหลายคนเริ่มมองว่า พวกเขากำลังเล่นกีฬาใหม่ไปแล้วที่เหนือชั้นกว่าเทนนิสของคนอื่น ๆ ด้วยรูปเกมที่หลากหลาย ทั้งความเร็ว ความแม่นยำ เกมรับ เทนนิสไอคิว และความหนักแน่นของเกมหรือ intensity พวกเขาต่างก็มีครบทุกองค์ประกอบ และคน ๆ พวกเขาเท่านั้นที่จะชนะกันเองได้
Alcaraz vs Sinner: The New Rivalry
“ผมเริ่มวางแผนซ้อมทันทีหลังจบวิมเบิลดัน” คือคำตอบที่อัลการาซให้กับสื่อมวลชน หลังถูกถามหลังคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่น 2025 ว่า เขาทำอะไรหลังแพ้รอบชิงฯ วิมเบิลดันให้กับซินเนอร์เมื่อกลางปีที่ผ่านมา
“ผมคิดถึงสิ่งที่ต้องเร่งพัฒนา ถ้าจะเอาชนะยานนิคให้ได้ ผมใช้เวลา 2 สัปดาห์ก่อนซินซินเนติ เพื่อพัฒนาในจุดที่จะช่วยผมเอาชนะยานนิค” อัลการาซกล่าว
เช่นเดียวกับ ฆวน การ์ลอส เฟร์เรโร่ อดีตมือ 1 ของโลกและแชมป์เฟรนช์โอเพ่น 2003 โค้ชของอัลการาซ ที่ออกมายอมรับว่าพวกเขาใช้เวลาถึง 15 วันในการเตรียมตัวรับมือเทนนิสของซินเนอร์
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักที่นักเทนนิสชั้นนำของโลกจะออกมายอมรับว่า เขาเตรียมตัวเพื่อรับมือกับคู่ปรับของเขาคนเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุผลหลักคือ การออกมาพูดแบบนี้เหมือนกับไม่ให้เกียรตินักเทนนิสคนอื่น ๆ ในรอบเมนดรอว์ที่พวกเขาต้องเจอระหว่างทาง
แต่เมื่อระดับเทนนิสของพวกเขาอยู่ในจุดที่สูงกว่าคนอื่น นักวิเคราะห์ต่างประเทศมองว่า การเตรียมพร้อมรับมือซินเนอร์คนเดียวก็อาจจะเพียงพอแล้ว เพราะพวกเขาต้องเตรียมรับมือกับความสามารถที่หลากหลายในระดับสูงสุด
ไม่ใช่เพียงแค่อัลการาซที่ออกมายอมรับเรื่องนี้ แต่ซินเนอร์ก็ยอมรับหลังเกมรอบชิงฯ ยูเอสโอเพ่น 2025 ว่าเขาให้เครดิตการเตรียมพร้อมของอัลการาซ ที่เล่นได้ดีกว่าในวันนี้
“ผมยอมรับว่า เขาเล่นได้ดีกว่าจริง ๆ วันนี้ เขาพัฒนาขึ้น ผมรู้สึกว่าวันนี้เขาตีได้ดีกว่า สิ่งที่ผมเคยทำได้ดีที่ลอนดอน ผมรู้สึกว่าเขาทำทุกอย่างได้ดีกว่าวันนี้
“โดยเฉพาะการเสิร์ฟ ผมต้องให้เครดิตเขา เขารับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่าผม เขายกระดับเกมของเขาเมื่อเขารู้ว่าถึงเวลาต้องทำ ผมยังคงภูมิใจในตัวเองกับฤดูกาลนี้ และที่ผลงานของผมทำให้เขาเล่นได้ดีกว่าผมในวันนี้”
Rivalry ที่งดงาม
Rivalry คือความงดงามอย่างหนึ่งในโลกกีฬา เพราะเมื่อเราเจอนักกีฬา 2 ฝั่งที่มีมุมมองแบบเดียวกันต่อทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ ว่าคือเส้นชัยแต่ไม่ใช่จุดจบ เพราะชัยชนะของซินเนอร์ที่วิมเบิลดันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอัลการาซในการพัฒนาตัวเองมาสู่ชัยชนะของเขาเองที่ยูเอสโอเพ่น 2025
แน่นอนว่าความพ่ายแพ้ของซินเนอร์ในวันนี้ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นต่อไปของเขาในการกลับมาสู่เวอร์ชันที่ดีกว่าเดิมในรายการต่อๆไป และ อาจไปถึง ออสเตรเลียนโอเพ่น รายการที่เขาคว้าแชมป์ไปแล้ว 2 สมัย
จากการเป็นคู่ปรับของทั้งสองประโยชน์สูงสุดจะเกิดขึ้นกับทั้งคนดูและวงการเทนนิส เพราะเราก็จะมีโอกาสได้เห็น Dream Finals กันอย่างต่อเนื่อง ด้วยเทนนิสที่มีระดับสูงขึ้น
ภาพความประทับใจที่สุดในวันสุดท้ายของยูเอสโอเพ่น 2025 ไม่ใช่แค่ถ้วยแชมป์ในมืออัลการาซ แต่คือรอยยิ้มและการให้เกียรติซึ่งกันและกันระหว่างเขากับซินเนอร์บนเวทีพิธีมอบรางวัล เหมือนอย่างที่อัลการาซพูดติดตลกว่า “ผมเจอหน้าซินเนอร์บ่อยกว่าครอบครัวตัวเองเสียอีก”
วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่อนาคตวงการกีฬาเทนนิสสดใสมาก ด้วยการที่เราสามารถฝากความหวังไปสู่ยุคใหม่ ด้วยคู่ปรับที่สมบูรณ์แบบอย่าง อัลการาซ และ ยานนิค ซินเนอร์
ซึ่งในอนาคต ก็อาจจะมีคนที่ก้าวขึ้นมาท้าทายพวกเขา และอาจเติบโตไปสู่ บิ๊กทรี หรือ บิ๊กโฟร์ ได้ในอนาคต แต่ตอนนี้คบเพลิงยุคสมัยใหม่ของเทนนิสชายเดี่ยวอยู่ในมือของพวกเขาทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว