×

เหตุคานย่านพระราม 2 ถล่ม ผู้เสียหายฟ้อง ‘รัฐ-การทางพิเศษ-ผู้รับเหมา’ ได้ รัฐต้องรับผิดแม้ความเสียหายเกิดจากเอกชน

โดย THE STANDARD TEAM
20.03.2025
  • LOADING...

นักวิชาการธรรมศาสตร์ แนะมุมมองทางกฎหมาย ชี้ผู้เสียหายจากเหตุการณ์ คานพระราม 2 ถล่ม สามารถฟ้องหน่วยงานรัฐ-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ 

 

พร้อมยกคำพิพากษาศาลปกครองในอดีต แม้จะเป็นความเสียหายอันเกิดจากการ กระทำของเอกชน แต่หน่วยงานรัฐย่อมต้องผูกพันในผลของการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วย 

 

ส่วนความผิดของ ‘ผู้รับเหมา’ ผู้เสียหายสามารถฟ้องได้ทั้งแพ่ง-อาญา

 


 

หน่วยงานรัฐต้องร่วมรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่เอกชน

 

รศ. ดร.สุปรียา แก้วละเอียด รองอธิการบดีฝ่ายบริหารศูนย์ลำปางและการคลัง และอาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายมหาชนและศูนย์กฎหมายภาษีอากร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า กรณีโครงสร้างสะพานที่กำลังก่อสร้างบริเวณถนนพระราม 2 พังถล่ม เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายราย และอีกมากกว่า 2,500 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมานั้น ที่ผ่านมามักถูกโยนให้เป็นความผิดของบริษัทเอกชนเพียงฝ่ายเดียว แต่ในความจริงแล้วหน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการก็ต้องรับผิดจากความบกพร่องในการควบคุมดูแลโครงการก่อสร้างและอาจถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้เช่นกัน

 

นอกจากผู้เสียหายจะสามารถฟ้องบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นคดีอาญา เช่น ฐานประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือคดีแพ่งด้วยเหตุละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แล้ว ยังสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐซึ่งเป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ที่ศาลปกครองได้อีกด้วย

 

“หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ตามกฎหมายในการควบคุมกำกับดูแลโครงการก่อสร้างที่เอกชนดำเนินการให้มีความปลอดภัย ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐกระทำโดยประมาทเลินเล่อ หรือละเว้นไม่กระทำการทั้งที่มีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลการก่อสร้าง จนส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของประชาชน หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อผู้เสียหายหรือทายาทของผู้เสียหายตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539  เช่น ค่าปลงศพ ค่าเสียหายทางทรัพย์สิน ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดู” รศ. ดร.สุปรียา กล่าว

 

ผู้เสียหายสามารถฟ้องทั้งเอกชนและหน่วยงานรัฐ

 

รศ.ดร.สุปรียา กล่าวว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นผู้เสียหายสามารถฟ้องหน่วยงานของรัฐต่อศาลปกครองเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ได้ โดยที่ผ่านมามีการฟ้องร้องรัฐให้ต้องรับผิดจากความบกพร่องของโครงการก่อสร้างที่ดำเนินการโดยเอกชนอยู่หลายคดี และหนึ่งในนั้น คือคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างถนนพระราม 2 ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ 2565/2566 

 

กรณีตัวอย่าง: คำพิพากษาศาลปกครอง คดีสะพานกลับรถถล่ม

 

จากเหตุการณ์สะพานกลับรถบนถนนพระราม 2 บริเวณ กม.34 พังถล่มลงมาทับรถยนต์ที่สัญจร เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2565 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 2 ราย ซึ่งต่อมาบิดาและมารดาของผู้เสียชีวิตฟ้องกรมทางหลวง อันเนื่องมาจากกรมทางหลวงได้ประกาศซ่อมพื้นสะพานกลับรถถนนพระราม 2 ซึ่งในระหว่างการซ่อมแซมดังกล่าว ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภายใต้สังกัดกรมทางหลวง คือนายช่างโครงการ (Project Engineer) ไม่มีการจัดเหล็กเส้นยึดเหนี่ยวระหว่างการรอรื้อสะพาน ส่งผลให้คานปูนสะพานกลับรถนั้นถล่มและหล่นทับรถยนต์ของประชาชนผู้สัญจรในขณะนั้น 

 

คดีดังกล่าว ศาลปกครองพิพากษาว่า อุบัติเหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุสุดวิสัย หากเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี (กรมทางหลวง) ได้จัดการระมัดระวังตามสมควรในการควบคุมดูแลในการปฏิบัติงานและดูแลความปลอดภัยในระหว่างการดำเนินการงานก่อสร้างและบูรณะสะพานอย่างเคร่งครัด อุบัติเหตุย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงได้ละเลยต่อหน้าที่ในการป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นตามมาตรา 4 และมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ. 2535 ประกอบข้อ 2 ข้อ 17 (1) และ (3) ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2558 จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมทางหลวง) จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 

 

“จากคำพิพากษาเห็นได้ว่า เมื่อเกิดกรณีความเสียหายอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยของรัฐใดที่ต้องกระทำนั้น แม้จะเป็นความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของเอกชนที่ได้รับว่าจ้างจากหน่วยงานของรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐนั้นก็ดี หรือเป็นความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของหน่วยงานของรัฐก็ดี หน่วยงานของรัฐดังกล่าวย่อมต้องผูกพันในผลของการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วย ดังนั้น สำหรับเหตุการณ์โครงสร้างสะพานบริเวณถนนพระราม 2 เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2568 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการย่อมมีหน้าที่กำกับดูแลให้บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย หากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิฟ้องการทางพิเศษแห่งประเทศไทยต่อศาลปกครองได้” รศ. ดร.สุปรียา กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม การฟ้องหน่วยงานของรัฐมักจะมีข้อกังวลตามมาว่า การที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะเป็นภาระแก่ประชาชนเพราะเป็นการนำงบประมาณแผ่นดินซึ่งมาจากรายได้ที่เป็นภาษีอากรมาจ่าย แต่ต้องเข้าใจว่าการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายเป็นกลไกในการเยียวยาความเสียหายนี้เพื่อคุ้มครองประชาชนที่ถูกละเมิดโดยหน่วยงานของรัฐ โดยหน่วยงานของรัฐย่อมใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่ที่ทำละเมิดได้ หากเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 

 

“การฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐ เจ้าของโครงการเป็นมาตรการในการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับความเสียหายเท่านั้น และเป็นเพียงการสร้างความตระหนักให้กับรัฐบาลในการควบคุมดูแลโครงการก่อสร้างให้ดีขึ้นเท่านั้น ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและไม่ยั่งยืน สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือควรเน้นมาตรการเชิงป้องกัน หากพิจารณาแนวทางในการป้องกันปัญหาเรื่องนี้ จะพบว่าในหลายประเทศใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมดูแลการก่อสร้างของเอกชนที่ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้” รศ. ดร.สุปรียา กล่าว

 

การฟ้องรัฐช่วยเยียวยาประชาชน แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

 

รศ. ดร.สุปรียา กล่าวถึงข้อเสนอที่ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต โดยแบ่งออกเป็น 4 มาตรการ ได้แก่ 

 

  1. กำหนดมาตรฐานความปลอดภัย เช่น กำหนดทุกโครงการก่อสร้างภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการในพื้นที่สาธารณะจัดทำระบบบริหารความปลอดภัย (Safety Management System – SMS) กำหนดให้มี เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยประจำโครงการ (Project Safety Officer) ที่ต้องผ่านการอบรมและมีใบอนุญาตรับรองจากรัฐ

 

  1. กำหนดมาตรการการตรวจสอบ เช่น มีเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบจากภายนอก (Independent Safety Auditor) ที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อประเมินความปลอดภัยอย่างเป็นกลาง มีการตรวจ Site ก่อสร้างแบบสุ่ม (Random Inspection) และมีอำนาจสั่งให้ระงับการดำเนินการได้หากเห็นว่าไม่ปลอดภัย

 

  1. กำหนดมาตรการลงโทษที่ได้สัดส่วนและมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายต่อสาธารณะ เช่น ประเทศออสเตรเลียมีฐานความผิด Industrial Manslaughter เมื่อมีลูกจ้างหรือบุคคลอื่นเสียชีวิต เพราะนายจ้างหรือบริษัทประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 25 ปี และโทษปรับองค์กร (Corporate Penalty) สูงสุดถึง 16.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษมีฐานความผิด Corporate Manslaughter โดยมีโทษปรับที่ไม่จำกัดจำนวนเงิน อันเป็นความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลที่ครอบคลุมไม่ว่าเป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วน องค์กรของรัฐ เพื่อให้องค์กรใส่ใจในมาตรการความปลอดภัยอย่างจริงจัง

 

  1. กำหนดมาตรการด้านความโปร่งใสของโครงการก่อสร้าง เช่น ประเทศออสเตรเลียกำหนดให้โครงการก่อสร้างต้องมีการเปิดเผยข้อมูลด้านความปลอดภัยสู่สาธารณะ (Public Safety Records) ประชาชนสามารถตรวจสอบชื่อผู้รับเหมา รายงานอุบัติเหตุ ผลการตรวจสอบความปลอดภัยจากหน่วยงานของรัฐได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นการสร้างแรงกดดันทางสังคม ทำให้หน่วยงานของรัฐต้องจริงจังต่อการคัดเลือกบริษัทก่อสร้าง และควบคุมดูแลโครงการก่อสร้างอย่างจริงจังอีกด้วย 

 

“ถ้ารัฐบาลมัวแต่จดสมุดพกของบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยไม่แก้ไขปัญหาเรื่องมาตรการความปลอดภัยของถนนพระราม 2 อย่างจริงจัง เชื่อว่าสถิติของความสูญเสียและสถิติคดีที่ประชาชนฟ้องหน่วยงานของรัฐคงไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้” รศ. ดร.สุปรียา กล่าว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising