ผ่านมาเกือบ 2 วันของการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่ สส. ได้วิพากษ์วิจารณ์และตั้งข้อสังเกตกับการจัดสรรงบประมาณที่ไม่คุ้มค่า สลับกับการชี้แจงตอบข้อซักถามของรัฐมนตรีในฐานะตัวแทนของรัฐบาลและหน่วยงาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอภิปรายไปจนถึงประเด็นของงบประมาณปรับปรุงอาคารรัฐสภา เป็นเหตุให้ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ซึ่งกำลังนั่งบัลลังก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานการประชุมอยู่ในขณะนั้น ได้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ชี้แจงงบประมาณส่วนนี้เสียเอง และยังใช้เวลาชี้แจงไปถึง 3 รอบแล้ว ในกรอบเวลาที่ประธานในการประชุมมีอยู่ 1 ชั่วโมง
เริ่มการชี้แจงบนบัลลังก์ประธาน
ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 28 พฤษภาคม ภายหลังการอภิปรายของ รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน พิเชษฐ์กล่าวขึ้นว่า รักชนกได้พาดพิงถึงงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร ที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้จุดกระแสงบประมาณ และทำให้เสมือนว่าในสภามีการโกงกิน คอร์รัปชัน เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ในสื่อหลายวัน วันนี้ต้องขอถือโอกาสใช้การพาดพิงถึงสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคงไม่มีท่านใดได้มาชี้แจง
พิเชษฐ์ชี้แจงว่า วันนี้งบประมาณยังไม่ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรเลย ดังนั้นจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการวิสามัญที่เราจะตั้งขึ้นมา โดยอธิบายว่า เสาหลักของประเทศ มีฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ และฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งฝ่ายบริหารโดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี ใช้งบกลางเป็นแสนล้าน ฝ่ายตุลาการศาล งบประมาณหลายหมื่นล้าน ในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศ ขอเรียนว่าเราได้งบ 8,000 กว่าล้านบาท ในปี 2569 และส่วนของสภาได้ 6,000 กว่าล้าน และวุฒิสมาชิกได้ 2,000 ล้าน
“สภาเราได้ตรวจรับเมื่อปี 2567 เราใช้ฟรีมา 5 ปี โดยที่ไม่มีการซ่อมแซม และปรับปรุงใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ก๊อกน้ำในห้องน้ำ เราก็ซ่อมไม่ได้ เพราะเราไม่ได้รับการส่งมอบ โดยเมื่อรับส่งมอบแล้ว ต้องบำรุงรักษา น้ำรั่ว เพราะเราไม่ได้รับงบประมาณที่จะซ่อมแซมได้ เพราะอยู่ในสัญญา ดังนั้น เมื่อรับมอบแล้วจำเป็นต้องตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการในส่วนที่ขาดอยู่”
ยืนยันความจำเป็นงบอาคารจอดรถ-ปรับปรุงศาลาแก้ว
พิเชษฐ์ยกตัวอย่างอาคารที่จอดรถ การประชุมงบประมาณ 4 วัน ที่จอดรถไม่มี โดยบริเวณโดยรอบสภาพที่เป็นที่จอดรถทั้งหมด ไม่พอ ซึ่งพื้นที่ใช้สอยของสภาผู้แทนราษฎร 400,000 ตารางเมตร ถ้าจะให้สมดุลกับที่จอดรถจะต้องมีที่จอดรถถึง 7,000 คัน วันนี้เรามี 3,000 คัน ถือว่าผิดกฎหมาย โดยสัดส่วนแล้วพื้นที่ใช้สอยต่อที่จอดรถต้องสมดุลกัน ถ้าถามว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำ เพราะงบประมาณของสภาในการก่อสร้างกว่า 2 หมื่นล้าน ถูกตัดเหลือ 1.2 หมื่นล้าน ทำให้ได้โครงสภา หรือโครงสร้างมาก่อน และหาทางแต่งเติมให้สมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อรับมอบแล้วต้องหาทางดูแลให้สมบูรณ์แบบสมศักดิ์ศรีฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศ
สำหรับศาลาแก้ว พิเชษฐ์บอกว่า เมื่อเดินไปดูแล้วพบว่าทั้ง 2 หลังตะไคร่ขึ้นเต็ม ไม่มีใครเดินเข้าไปเหยียบ เพราะใช้ประโยชน์ไม่ได้ เราปรับปรุง เพราะว่าจะมีอนุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 7 ที่มาตั้งที่หน้าสภา และศาลาแก้วต้องทำให้เกิดประโยชน์ให้สมดุลกับอนุสาวรีย์ที่จะมาตั้งในต้นปีหน้า ดังนั้นในวันนี้ศาลาแก้วเริ่มผุพังแล้ว บางส่วนเป็นหลังคาเปลือย ไม่มีสิ่งห่อหุ้ม และร้อน จึงต้องตั้งงบประมาณปรับปรุงให้ใช้ประโยชน์ให้ได้
“ท่านตรวจสอบเลย แต่วันนี้งบประมาณยังไม่ได้รับเลย ถ้าทำแล้ว ตรวจสอบได้ นี่บ้านของเราเอง” พิเชษฐ์กล่าว
ส่วนห้องประชุมงบประมาณ สมาชิกที่เคยเป็นกรรมาธิการจะรู้ว่านั่งอยู่ในนั้น 2 เดือนมันลำบากมาก ไม่มีที่วางเอกสาร มีจอคอมพิวเตอร์ที่บังหน้าทั้งหมด มองไม่เห็นใคร ด้วยการออกแบบที่จินตนาการของนักออกแบบ เมื่อทำมาแล้วมันใช้การไม่สะดวก ห้องงบประมาณที่รัฐสภา ถนนอู่ทองใน สมัยก่อนดีกว่านี้อีก จึงจำเป็นต้องปรับปรุงห้องงบประมาณให้เหมาะสมกับการประชุมที่ยาวนาน และนั่งทุกวัน ไปตรวจสอบได้เลยว่าจะมีการคอร์รัปชันหรือไม่
ส่วนห้อง 4D แอนิเมชัน หรือห้องฉายหนัง รัฐสภาเก่าเรามีห้องฉาย ซึ่งบรรจุคนได้ 100-200 คน ฉายหนังให้พี่น้องประชาชนที่เข้ามาเยี่ยมชมสภาได้ดูประวัติศาสตร์ และความเป็นไปของประชาธิปไตย ซึ่งในวันนี้เรามาเยี่ยมสภา ก็มาสวัสดีแค่นี้ ให้เขารู้ประวัติศาสตร์ และประชาธิปไตยให้ดื่มด่ำและภูมิใจกับบ้านของเรา ยืนยันว่า ต้องทำ ท่านตรวจสอบได้เลย จะเป็นสิ่งที่ล้ำหน้า และทันสมัยไม่ได้หรือไม่เป็นต้นแบบของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไม่ได้หรือไม่ ดังนั้น ใครจะตรวจสอบก็ตรวจสอบได้เลย
“ถ้างบประมาณผ่านก็ยินดีให้ตรวจสอบเต็มที่ ท่านพริษฐ์ ถ้าเก่งจริง ท่านตรวจสอบงบประมาณของ กระทรวงต่างๆ เลย 20,000 กว่าหน้า ท่านตรวจสอบไปเลย นี่บ้านของเราเองมีงบแค่ 8,000 ล้านบาท จะมารื้อรั้วบ้านทำไม แน่จริงไปตรวจสอบงบประมาณกระทรวงทบวงกรมที่เป็นแสนล้าน” พิเชษฐ์กล่าวพาดพิงถึงพริษฐ์
ทำให้รักชนกใช้สิทธิ์พาดพิงกลับ โดยยืนยันว่า ยังไม่ได้พูดว่ามีการทุจริตเลย แต่บอกว่าเป็นมิติใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ ต้องรอให้มีการทุจริต หรือมีการโกงกินเกิดขึ้นก่อน แต่นี่เราสามารถจับผิดได้ตั้งแต่งบประมาณยังไม่ถูกใช้ ซึ่งตนขอยืนยันว่า ไม่ใช่การกล่าวหา ซึ่งงบประมาณส่วนที่จอดรถ เราทราบกันอยู่แล้วว่า จำนวน 4,600 ล้านบาทนั้น ยังดีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่อนุมัติมา
“ดิฉันการันตีได้และเห็นด้วยกับท่านพิเชษฐ์ว่า เราไม่ต้องพังบ้านของเรา ดิฉันเลยอายที่สภามีงบประมาณเหล่านี้ และถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งดิฉันไม่รู้จริงๆ ว่า ดิฉันหรือ สส. ของพรรคประชาชนจะมีอานุภาพมากพอ ที่ไปตัดงบประมาณที่มีความไม่สมเหตุสมผลเหล่านี้ได้หรือไม่ จึงต้องพูดถึงในวันนี้ เพราะสุดท้ายแล้วดีหรือไม่ ที่ประชาชนจะได้เห็นว่า งบประมาณขอไปทำอะไรก่อนที่จะถูกใช้ ถ้าประชาชนชอบ ก็ฝากชมและฝากกดดันรัฐบาลด้วย ว่านอกจากงบประมาณของรัฐสภาแล้ว เราอยากเห็นงบประมาณของกระทรวงอื่นๆ ที่อยู่ในชั้นคำของบประมาณด้วย” รักชนกกล่าว
พริษฐ์ใช้สิทธิพาดพิง หวั่นภาพลักษณ์สภาเสีย
เช้าวันต่อมา (29 พฤษภาคม) พริษฐ์ได้เข้ามารอในห้องประชุมสุริยันเป็นคนแรก เพื่อรอใช้สิทธิ์พาดพิงในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา พร้อมได้ยกประเด็นต่างๆ อาทิ ไม่ได้ทำให้สภาเสียหาย แต่ถ้าผู้บริหารสภาไม่สามารถตอบคำถามที่ประชาชนสงสัยได้อย่างดีเพียงพอ จนทำให้ประชาชนหมดข้อสงสัยว่างบประมาณของสภานั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
ทำให้พิเชษฐ์ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น ตอบโต้พริษฐ์ทันทีว่า งบประมาณสร้างรัฐสภาแห่งนี้ ที่จริงแล้ว 2 หมื่นกว่าล้านบาท แต่ถูกตัดงบประมาณ ซึ่งงบประมาณแต่ละกระทรวง ทบวง กรม หรือของรัฐสภาก็เหมือนกัน กว่าจะถูกบรรจุในเล่มงบประมาณ 20,000 กว่าหน้านี้ ยากลำบากที่สุด ของรัฐสภาขอไป 10,000 กว่าล้านบาท อนุมัติมา 8,000 ล้านบาท แต่ก็ถูกตัด บางโครงการมีโครงการที่จะพัฒนาก็ไม่ได้เลยสักปี เพราะฉะนั้น ความยากลำบากที่เราได้มาในฐานะที่เป็นผู้บริหารของรัฐสภา ยืนยันจะปกป้องงบประมาณของสภาเต็มที่
“ท่านพริษฐ์เป็นประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ เรามีกรรมาธิการติดตามงบประมาณฯ เรามีกรรมาธิการการตำรวจ มีกรรมาธิการ ป.ป.ช. ไม่มีปัญหาครับ ถ้าจะตรวจสอบงบประมาณ ก็ไม่เป็นไร แต่ท่านได้เชิญเจ้าหน้าที่ของสภาไปชี้แจงงบประมาณของรัฐสภา ท่านเชิญเขาไป เขาเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ ที่เลวร้ายที่สุด ท่านไลฟ์สด และตอนเจ้าหน้าที่ตอบไม่ได้ แล้วท่านก็เป็นพระเอก เป็นวีรบุรุษในโซเชียล” พิเชษฐ์กล่าว
พิเชษฐ์ยังชี้นิ้วไปที่ฉากหลังบัลลังก์ ก่อนกล่าวว่า “แล้วฉากหลังบัลลังก์นี้ ท่านดูสิครับ ปกติมีงบประมาณอยู่แล้ว แต่ถูกตัดไป ท่านดูสิครับ ปูนเปลือยอยู่อย่างนี้นะครับ แล้วมีเส้นขีดอยู่เต็มไปหมด ไม่ทำตอนนี้จะทำตอนไหน ไปทำรุ่นลูกรุ่นหลานอีก 100 ปีหรือ ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรนะครับถ้าไม่ทำ แต่มันเป็นศักดิ์ศรีของรัฐสภา ศักดิ์ศรีของสภาผู้แทนราษฎร”
“ถ้ามันสวยมันดี เป็นหน้าเป็นตา เป็นเกียรติ วันนี้สภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาที่เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีของประเทศ เป็นอันดับสองของโลก ถ้าทำที่จอดรถครบแล้วจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ใหญ่ที่สุด วันนี้ท่านไปเดินดูสิครับท่านพริษฐ์ เดินดูรอบสภาเลยครับ เดินดูวัดแก้วฟ้า ไปดูห้างสุพรีมสิครับ เต็มไปหมดครับ ไม่มีที่จอดรถครับ” พิเชษฐ์กล่าว
พิเชษฐ์ยังยกกรณีในอดีตที่ ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 จากพรรคก้าวไกล เคยจัดเลี้ยงหมูกระทะให้พนักงานทำความสะอาดของรัฐสภา ซึ่งมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงยืนยันว่าตรวจสอบได้ตลอดเวลา แต่ต้องพัฒนา
พิเชษฐ์ได้เชิญให้พริษฐ์ พร้อมด้วย ภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน พาสื่อมวลชนไปเดินชมรัฐสภาด้วยกัน ก่อนจะเปิดคลิปศาลาแก้วที่มีปัญหาขึ้นในที่ประชุมสภาด้วย เพื่อยืนยันความจำเป็นที่ต้องปรับปรุง “ถ้าเราไม่ทำ ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำอีก”
ต่อมาในช่วงสายของวันเดียวกัน (29 พฤษภาคม) ภัณฑิลก็ได้ลุกขึ้นอภิปรายโดยพุ่งเป้าไปที่งบประมาณปรับปรุงอาคารรัฐสภาเป็นหลัก พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการมีงบประมาณจัดทำคลังแสง รวมถึงงบอบรมสัมมนา ที่มองว่าผิดระเบียบการคลัง แต่มีการกดดันข้าราชการสภา และเมื่อได้งบมาแล้วก็ควบคุมการใช้เงินโดย สส. พรรคเดียวกัน ที่ชื่อย่อว่า ‘พ.’ และ ‘ท.’
ทำให้พิเชษฐ์ที่อยู่บนบัลลังก์กล่าวชี้แจงเป็นครั้งที่ 3 ว่า เรื่องของคลังแสง สภาใหม่ของเราวันนี้ตำรวจทุกคนไม่มีอาวุธ
“ถ้ามีผู้ก่อการร้ายมาคนหนึ่ง เอาอาวุธครบมือมา เราเสียชีวิตทั้งหมด เพราะไม่มีอาวุธ เมื่อเกิดเหตุหากมีหน่วยก่อการร้ายเข้ามา เราไม่มีใครป้องกันตัวได้”
พิเชษฐ์ยกตัวอย่างว่า สภาทั่วโลกก็มีกองเกียรติยศ คือตำรวจ ชุดที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ต้อนรับประธานสภา ต้อนรับนายกรัฐมนตรีแต่ละประเทศ แถวกองเกียรติยศทั่วโลกเขาก็มี ตำรวจที่แต่งชุดพิเศษแบบนี้ เมื่อท่านใดไปประเทศลาว ลองดูรัฐสภาลาวยิ่งใหญ่กว่าเรา ถ้าใครอยากไปดูเพื่อนบ้านก็ไปดูได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ทำ เราไม่พร้อม ก็คิดว่าไม่มีโอกาสที่จะได้ทำอีก
“ส่วนเรื่องของคลังแสง สภาใหม่ของเราวันนี้ตำรวจทุกคนไม่มีอาวุธ ถ้ามีผู้ก่อการร้ายมาคนหนึ่ง เอาอาวุธครบมือมาเราตายทั้งหมด เพราะไม่มีอาวุธ เมื่อเกิดเหตุหากมีหน่วยก่อการร้ายเข้ามา เราไม่มีใครป้องกันตัวได้ และสภาทั่วโลกก็มีกองเกียรติยศ พวกนี้ก็คือตำรวจ ชุดที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ต้อนรับประธานสภา ต้อนรับนายกรัฐมนตรีแต่ละประเทศ แถวกองเกียรติยศทั่วโลกเขาก็มี ตำรวจที่แต่งชุดพิเศษแบบนี้ เมื่อท่านใดไปประเทศลาว ลองดูรัฐสภาลาวยิ่งใหญ่กว่าเรา ถ้าใครอยากไปดูเพื่อนบ้านก็ไปดูได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ทำ เราไม่พร้อม ผมก็คิดว่าไม่มีโอกาสที่จะได้ทำอีก” พิเชษฐ์กล่าว
พิเชษฐ์ยังกล่าวต่อว่า เรื่องของประชาธิปไตยหลังจากที่เราถูกปฏิวัติรัฐประหาร การเชื่อมโยงการติดต่อประชาชนเยาวชน เราขาดการติดต่อกับประชาชน สส. ก็มีหน้าที่ไปซักถาม แต่ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับประชาชนได้ ฉะนั้นการอบรมเยาวชนต่างๆ ก็เป็นคุณค่าที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะลงสู่พื้นที่