
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แถลงยุติให้บริการสิทธิบัตรทอง 16 ต.ค. 68 เป็นต้นไป
“สปสช. กำลังใช้ผู้ป่วยเป็นตัวประกัน” คือคำประกาศกร้าวจาก พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ที่บุกไปยังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อทวงหนี้ค่ารักษาพยาบาลกว่า 110 ล้านบาท
เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาทเรื่องตัวเลข แต่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ ‘บัตรทอง’ และเผยให้เห็นรอยร้าวที่ซ่อนอยู่ใต้พรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลทั่วประเทศและผู้ป่วยอีกหลายสิบล้านคน
จุดเริ่มต้นของวิกฤต: หนี้ 110 ล้านบาท และตัวเลขที่ไม่ตรงกัน

พล.ต.นพ.เหรียญทอง บุกงานแถลงข่าว ชี้แจงหนี้ค่ารักษาพยาบาล สปสช.
ความขัดแย้งปะทุขึ้นเมื่อโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะประกาศจะยุติการให้บริการผู้ป่วยนอกสิทธิบัตรทองชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนในพื้นที่กว่า 47,000 คน
ชนวนเหตุสำคัญคือ ‘หนี้’ ที่โรงพยาบาลระบุว่า สปสช. ค้างชำระสะสมมานานหลายปี รวมเป็นเงินกว่า 110 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหนี้เก่าตั้งแต่ปี 2563, หนี้ของปี 2567 และหนี้ของปีงบประมาณ 2568
ทว่า เรื่องราวกลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อ สปสช. ออกมาชี้แจงว่าตัวเลขไม่ตรงกัน โดยยอมรับว่ามีหนี้ค้างชำระจริง แต่เป็นยอดที่น้อยกว่านั้นมาก และอธิบายว่าบางส่วนเป็นหนี้เก่า จากกรณีคลินิกอบอุ่นทุจริตในปี 2563 และเรื่องอยู่ในชั้นศาลปกครองที่ยังไม่มีความคืบหน้า
เมื่อ สปสช. จ่ายเงินให้คลินิก แต่คลินิกถูกยกเลิก โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเข้าไปรับดูแลคนไข้ต่อให้ แต่กลับต้องฟ้องเพื่อเรียกเงินค่ารักษาพยาบาล
และที่สำคัญคือ การ ‘ปรับเกณฑ์การจ่ายเงินใหม่’ ในช่วงปลายปี 2567 ทำให้ สปสช. มาเรียกเก็บเงินส่วนเกินคืนจากโรงพยาบาลกว่า 31 ล้านบาท กลายเป็นว่าโรงพยาบาลที่เป็นเจ้าหนี้ กลับกลายเป็นลูกหนี้ในมุมของ สปสช. ไปโดยปริยาย
ประเด็นนี้เองที่กลายเป็นจุดแตกหัก พล.ต.นพ.เหรียญทอง สวนกลับอย่างดุเดือดกลางวงแถลงข่าวว่า ไม่เคยรับรู้ เรื่องการเปลี่ยนเกณฑ์มาก่อน และมองว่านี่คือการกระทำที่ไม่เป็นธรรม เพราะปรับกติกาในปี 2567 แต่มาทราบในปี 2568
“ถ้าวันดีคืนดี สปสช. นึกกติกา มาตั้งระบบ point system (จากเดิมใช้ระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามที่กำหนดไว้-Fee Schedule) กลายเป็นถูกเรียกเงินอีก 38 ล้านบาท ในเดือนมีนาคมถึงกันยายน ไม่มีการพูดถึงเลย เป็นที่มาที่ผมยกเลิก 35 คลินิก ประชากร 2 แสนกว่าคนเดือดร้อน เพราะกติกาไม่แน่นอน ไม่พอ แล้วยังย้อนไปในอดีตอีก” พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าว
“ผมจะเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน”: ปัญหาที่ใหญ่กว่าโรงพยาบาลเดียว

พล.ต.นพ.เหรียญทอง บุก สปสช. เพื่อทวงหนี้ค่ารักษาพยาบาล
สิ่งที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง กำลังต่อสู้อยู่ อาจไม่ใช่แค่เรื่องหนี้สินของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเพียงแห่งเดียวที่เจ้าตัวเปิดเผยว่ามีข่าวลือ อาจไม่ได้คืน และถูกบังคับให้ออกจากระบบสิทธิบัตรทอง แต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาระดับโครงสร้างที่โรงพยาบาลทั่วประเทศกำลังเผชิญ ที่หลายโรงพยาบาลแอบกระซิบบอก พล.ต.นพ.เหรียญทอง ให้ช่วยเปิดหน้าทวงหนี้
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ยอมรับเองว่า ปัจจุบัน สปสช. มียอดหนี้ค้างชำระสถานพยาบาลทั่วประเทศรวม ‘หลายพันล้านบาท’ ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน
สาเหตุหลักมาจากระบบงบประมาณของ สปสช. ที่เป็น ‘งบปลายปิด’ คือได้รับงบประมาณจากรัฐบาลมาเป็นก้อน ทำให้การบริหารจัดการทำได้ยาก ต้องคำนวณเบิกล่วงหน้า 2 ปี
เมื่อมีค่าใช้จ่ายที่คาดเดาไม่ได้เพิ่มขึ้น เช่น การระบาดของโรค หรือนโยบายใหม่ๆ ของรัฐบาลที่ประกาศใช้กลางปีอย่าง ‘ฟอกไตฟรี’ ที่ใช้งบประมาณสูงถึง 16,000 ล้านบาท ทำให้เงินในระบบไม่เพียงพอ การจ่ายเงินให้โรงพยาบาลจึงล่าช้าออกไป และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ สปสช. ปรับรูปแบบการจ่ายเงิน
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ประกาศว่าเขาพร้อมจะเป็น “หัวหมู่ทะลวงฟันให้กับโรงพยาบาลที่ยังไม่ออกมาเรียกร้อง” เพราะเชื่อว่าหากปล่อยไว้ ระบบทั้งหมดอาจพังทลายลงได้
“ระบบบัตรทองไม่ได้ล่มสลาย แต่มีรอยร้าว ไม่ได้หมายความว่าจะถล่มลงมา แต่หากปล่อยทิ้งไว้จะถล่ม” พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าว
เสียงสะท้อนจากคนไข้: เมื่อสิทธิการรักษาแขวนบนเส้นด้าย

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แจ้งผู้ป่วย งดให้บริการสิทธิบัตรทอง
ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง สปสช. และโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ราว 47,000 คน ที่มีชื่อสังกัดโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน บางคนยอมจ่ายเงินเองเพื่อรักษาต่อที่เดิมเพราะความผูกพันและสะดวกในการเดินทาง แต่หลายคนก็ไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้
สปสช. ได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือ โดยจัดตั้ง ‘จุดบริการเฉพาะกิจ’ ที่โรงแรมจัมโบเทล ใกล้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เพื่อให้คำแนะนำ ประสานการย้ายสิทธิ และจัดรถรับ-ส่งไปยังโรงพยาบาลแห่งใหม่ พร้อมทั้งเปิดช่องทางให้เข้ารับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรม เช่น ร้านยา หรือคลินิกใกล้บ้าน ภายใต้โครงการ ‘30 บาทรักษาทุกที่’ เพื่อบรรเทาผลกระทบเฉพาะหน้า
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเข้าถึงประวัติการรักษายังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะยังไม่ได้เชื่อมต่อข้อมูลกับระบบ Health Link ทำให้การส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยเพื่อการรักษาที่ต่อเนื่องทำได้ไม่ราบรื่นนัก
บทสรุปที่ยังไม่จบ: ทางออกของระบบสุขภาพไทย

ประชาชนสอบถามสิทธิรักษาพยาบาล
ข้อพิพาทครั้งนี้จบด้วยการเจรจาเบื้องต้น โดย พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยื่นเงื่อนไขให้ สปสช. ชำระหนี้ปี 2563 และ 2567 ก่อน แล้วโรงพยาบาลจะกลับมาให้บริการตามเดิม ซึ่งทาง สปสช. ก็รับเรื่องไปพิจารณา
แม้บรรยากาศจะตึงเครียด แต่ท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายก็จับมือกัน พร้อมกับคำพูดจาก พล.ต.นพ.เหรียญทอง ที่ว่า “คนเราโกรธกันได้ เกลียดกันได้ แต่ถ้ามีเหตุผลวันหนึ่งเราก็สามารถคืนดีกันได้”
เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายคำถามสำคัญถึงความยั่งยืนของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การสื่อสารที่โปร่งใสระหว่างภาครัฐและสถานพยาบาล ตลอดจนการวางแผนงบประมาณที่ยืดหยุ่นและเพียงพอต่อความเป็นจริง คือโจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไข เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องกลายเป็น ‘ตัวประกัน’ ในสมรภูมิระหว่างหน่วยงานรัฐกับผู้ให้บริการอีกต่อไป
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สุขภาพของคนไทยทุกคนคือเดิมพันที่สูงที่สุดในเรื่องนี้


