คอสตาส ซิมิคาส ที่เพิ่งถูกส่งลงสนามมาเพื่อแทนที่ของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายตัวจริงซึ่งวิ่งจนหมดแรง เป็นมือสังหารจุดโทษคนที่ 7 ของฝั่งลิเวอร์พูลในเกมนี้ และกลายเป็นฮีโร่ที่ยิงจุดโทษลูกตัดสินให้ทีมกลายเป็นแชมป์เอฟเอคัพ ประจำฤดูกาล 2021/22 ในปีที่ 150 ของการแข่งขัน
ภาพของ ‘The Greek Scouser’ สมญานามที่แฟนๆ รักและตั้งใจยกให้ – ในขณะที่เจ้าตัวตอบรับให้ เดอะ ค็อป ยิ่งประทับใจเข้าไปใหญ่เมื่อบอกว่า “ผมไม่ได้เป็นสเกาเซอร์กรีก ผมเป็นคนสเกาเซอร์ที่เป็นคนกรีก” (สเกาเซอร์หมายถึงชาวเมืองลิเวอร์พูล) – ที่วิ่งฉลองชัยชนะก่อนจะถูกแห่ขึ้นบ่าของ อาเดรียน นายทวารสำรองมือ 3 กลายเป็นหนึ่งในภาพที่น่าจดจำที่สุดจากการแข่งขันเกมนี้
อย่างไรก็ดี ตลอด 120 นาทีที่สนามเวมบลีย์ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น และฮีโร่ตัวจริงของเกมนี้ย่อมไม่ใช่แบ็กซ้ายชาวกรีกเพียงคนเดียว
เพราะย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นไม่กี่อึดใจ คนที่มอบโอกาสให้ซิมิคาสเป็นฮีโร่ก็คือ อลิสสัน นายทวารชาวบราซิลที่พุ่งเซฟลูกยิงของ เมสัน เมาท์ กองกลางดาวเด่นของเชลซีที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอดทั้งเกม ในช่วงของการดวลจุดโทษแบบซัดเดนเดธ ‘ใครพลาดตาย’
และตลอดทั้งเกม อลิสสันก็เป็นหนึ่งในคนที่ควรค่าจะได้รับการยกย่องในฐานะผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกม จากการที่ยืนหยัดตลอด 120 นาที ไม่ยอมให้นักเตะคนใดของเชลซีสามารถส่งบอลผ่านเขาเข้าไปตุงตาข่ายได้ ราวกับเป็นพ่อมดเทาแกนดัล์ฟที่ประกาศกร้าวต่ออสูรบัลร็อกในเหมืองมอเรีย
ความจริงแล้วลิเวอร์พูลอาจจะไม่ต้องเหนื่อยยากขนาดนี้ก็ได้ เมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายที่เริ่มต้นเกมได้อย่างดุดันกว่า และมีโอกาสอย่างน้อย 2-3 ครั้งที่ควรจะได้ประตู โดยเฉพาะในจังหวะที่ หลุยซ์ ดิอาซ ปีกจรวดชาวโคลอมเบียได้หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่กลับยิงไปติดขาของ เอดูอาร์ เมนดี้ ที่ช่วยชีวิตทีมเอาไว้ได้ก่อนที่ เทรเวอร์ ชาโลบาห์ จะปรี่มาสกัดบอลทิ้งก่อนลูกข้ามเส้น
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเร็วและเทคนิคการเล่นที่ยอดเยี่ยมของปีกที่ถูกเร่งซื้อตัวมาในช่วงตลาดการซื้อขายรอบเดือนมกราคม เพราะหวั่นใจว่าจะโดนสเปอร์สแย่งตัวไป คือหนึ่งในอาวุธหลักของลิเวอร์พูลทั้งในเกมนี้และในช่วงหลัง
โดยเฉพาะในวันที่ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เกิดบาดเจ็บกล้ามเนื้อและเป็นครั้งที่ 2 ที่ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามกลางทางในนัดชิงชนะเลิศ เหมือนย้อนรอยในนัดชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 2018 หากเป็นก่อนนี้ ลิเวอร์พูลย่อมขวัญเสียไปแล้วแน่นอน แต่เพราะมีดิอาซอยู่ทำให้พวกเขายังมีความหวัง
จุดอ่อนเดียวสำหรับปีกซ้ายจอมสับยังคงเป็นเรื่องของการจบสกอร์ที่ยังห่างไกลจากซาลาห์ หรือ ซาดิโอ มาเน ซึ่งกำลังสนุกกับบทบาทใหม่ ‘False Nine’ ทำให้โอกาสหลายครั้งตลอดทั้งเกมผิดและพลาดไปหมด รวมถึงในหลายจังหวะอาจจะดูติดเล่นคนเดียวมากเกินไป แต่ในภาพรวมแล้ว ดิอาซเป็นอีกหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูล และได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี คนที่ทำได้ดีไม่ได้มีแค่เขา จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ร่วมกันขับเคลื่อนเกมกับ นาบี เกอิตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ติอาโก อัลกันตารา กองกลางจอมทัพชาวสเปนผู้เคยอกหักในนัดชิงลีกคัพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อมีชื่อเป็นตัวจริงแต่กลับบาดเจ็บในระหว่างการวอร์ม วันนี้สายเลือดของซินโญ มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลกได้สำแดงฝีเท้าของตัวเองออกมาอย่างโดดเด่น
ในเกมรับนอกจาก อิบราฮิมา โกนาเต ที่กลายเป็นเสาหลักในเกมนี้ โดยเฉพาะช่วงต่อเวลาพิเศษที่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค พี่ใหญ่ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่เข่าแล้ว เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็เล่นได้ดีที่สุดนัดหนึ่ง
เทรนต์ทำหน้าที่ในเกมรุกที่ถนัด เอาแค่การเปิดบอลตัดหลังให้ดิอาซหลุดในช่วงต้นเกมก็ได้รับการยกย่องว่าไม่มีแบ็กขวาคนไหนที่จะจ่ายบอลแบบนี้ได้อีกแล้ว แต่ในเกมรับถึงจะต้องเจองานหนักทั้ง คริสเตียน พูลิซิช และ มาร์กอส อลอนโซ ผลัดกันมาเล่นงาน แต่แบ็กที่เป็นความภูมิใจของชาวเมืองก็ยืนหยัดรับมือได้เป็นอย่างดี
จังหวะไล่กวดแล้วเสียบบอลก่อนที่พูลิซิชจะง้างเท้า และอีกครั้งที่ตามมาชิงตัดบอลได้ก่อนที่อลอนโซจะเข้าถึงที่หน้าปากประตู มีความสำคัญต่อเกมไม่ได้น้อยไปกว่าการทำประตูเลย
เพราะเชลซีเองก็เป็นทีมที่ยอดเยี่ยม และพวกเขาก็เล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ได้แตกต่างกัน โดยเฉพาะในกลุ่มตัวริมเส้นอย่าง พูลิซิช, อลอนโซ, เมาท์ และ รีซ เจมส์ ที่สู้กับเกมริมเส้นของลิเวอร์พูลได้อย่างชนิดถึงพริกถึงขิง
หากจะนับจังหวะหวาดเสียวที่ใกล้จะเป็นประตูในความรู้สึกแล้ว เชลซีอาจจะมีมากกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะโอกาสของกองหน้าชาวสหรัฐอเมริกาที่หากเป็นวันที่ดีของเขาอย่างน้อยอาจจะมีถึง 2 ประตู
สำหรับนักเตะสิงห์บลูส์ เกมนัดนี้คือเกมที่มีความหมายอย่างยิ่งยวดไม่ได้น้อยกว่าคู่แข่ง พวกเขาเพิ่งแพ้ลิเวอร์พูลมาในเกมนัดชิงลีกคัพ และพวกเขาก็แพ้ในนัดชิงเอฟเอคัพติดต่อกันในช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ต่ออาร์เซนอลและเลสเตอร์ ซิตี้
นักเตะเชลซีเองตระหนักดีว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายสำหรับบางคนที่จะได้ร่วมลุ้นความสำเร็จไปด้วยกันก่อนที่น่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงภายในทีม อันเป็นผลสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเจ้าของสโมสร ไม่นับ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ และ อันเดรียส คริสเตนเซน แล้ว อาจจะมีบางคนที่จะไม่ได้อยู่กับทีมต่อในฤดูกาลหน้า
และเหนืออื่นใดคือนี่เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้แชมป์ส่งท้ายก่อนจะปิดฉากยุคสมัย ‘Roman Empire’ อันรุ่งโรจน์ภายใต้การนำของ โรมัน อบราโมวิช
น่าเสียดายที่แม้จะเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังดีไม่พอกับการเป็นแชมป์อีกครั้ง
แต่อย่างน้อยที่สุด ภาพของนักเตะเชลซีที่สู้กับแข้งลิเวอร์พูลอย่างสนุก สูสี สู้กันด้วยความสามารถ ไม่มีมารยาสาไถยใดๆ งัดมาใช้กันในเกมที่บีบหัวใจกองเชียร์ทั้งสองฝ่าย มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ว่าใครจะเป็นแชมป์ก็นับว่าคู่ควร
และผู้แพ้เองก็สมควรได้รับเสียงปรบมือชื่นชมเช่นกัน โดยที่ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจเพราะพวกเขาทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
เจอร์เกน คล็อปป์ กล่าวหลังชัยชนะว่า “การได้เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรแห่งนี้ในช่วงเวลานี้ถือเป็นความสุขที่สุด ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะไขว่คว้า แต่คืนนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าผมอยากจะมีความสุขกับช่วงเวลานี้ก่อน และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะตัวตนของนักเตะของผม มันคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เราได้รับชัยชนะ”
ส่วน โธมัส ทูเคิล ผู้ปราชัยอีกครั้งยืนยันว่าไม่มีอะไรต้องเสียใจ “ก็เหมือนในนัดชิงคาราบาว คัพ เราไม่มีอะไรต้องเสียใจ ผมบอกกับทีมว่าผมภูมิใจในตัวพวกเขา เราสู้ได้และทำให้ลิเวอร์พูลต้องเจอวันที่ลำบาก เราอาจจะมีปัญหาในช่วง 15 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นเราทำกันได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งเกมกับทีมที่มีเกมรุกอันตรายที่สุดของโลก เราแพ้แค่ในการดวลจุดโทษ เราเสียใจ แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ภูมิใจ”
และนั่นคือบทสรุปของเกม ลิเวอร์พูลซึ่งโชว์หัวใจของพวกเขาให้เห็นแล้วว่าแกร่งยิ่งกว่าเพชร ได้แชมป์ที่ 2 ในฤดูกาลนี้ และยังรักษาความหวังกับสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างการทำ Quadruple Champ หรือการคว้า 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียวเอาไว้ได้ต่อไป
ขณะที่เชลซีผู้แพ้ พวกเขาเหลือการทำหน้าที่รักษาอันดับท็อปโฟร์ไว้ แล้วรอเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในฤดูกาลหน้า
อ้างอิง: