×

อดีตผู้สมัครยื่นคำร้องขอเพิกถอนมติวุฒิสภา หลังปัดตก ‘ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ’ โดยไม่แจ้งเหตุผล

โดย THE STANDARD TEAM
30.07.2025
  • LOADING...

อดีตผู้สมัครตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่ง ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้เพิกถอนมติวุฒิสภา เนื่องจากไม่ให้ความเห็นชอบโดย ‘ไม่แสดงเหตุผล’

 

เมื่อ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ชาตรี อรรจนานันท์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก และอดีตอธิบดีกรมการกงสุล สมัครเข้าเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และได้รับเลือกจากคณะกรรมการสรรหาฯ เสนอชื่อเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา พร้อมกับ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ศาสตราจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาที่ประชุมวุฒิสภามีมติ ‘ไม่เห็นชอบ’ ให้ผู้ถูกเสนอชื่อทั้งดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

 

ก่อนที่ต่อมา คณะกรรมการสรรหาฯ จะได้เสนอชื่ออีก 2 ผู้สมัครให้วุฒิสภาพิจารณาอีกครั้ง โดยวุฒิสภาปัดตก สุธรรม เชื้อประกอบกิจ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล และให้ความเห็นชอบ สราวุธ ทรงศิวิไล อดีตอธิบดีกรมทางหลวง ให้ดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมาด้วย

 

วุฒิสภาปัดตกโดยไม่ให้เหตุผล

 

ล่าสุดเมื่อ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ชาตรี อรรจนานันท์ ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบมาตรา 46 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561

 

สาระสำคัญของคำร้อง ระบุว่า มติหรือการกระทำของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ไม่ให้ความเห็นชอบผู้ร้องเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติและหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ รวมถึง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 จึงเป็นการกระทำที่ใช้บังคับมิได้ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ

 

ผู้ร้องชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ประชุมวุฒิสภาได้พิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหา โดยในการอภิปรายเปิดที่ถ่ายทอดสดนั้น แทบไม่มีการกล่าวถึงผู้ร้องในด้านผลงานหรือทัศนคติ ซึ่งผิดวิสัยจากการพิจารณาตามปกติ และในการประชุมลับ วุฒิสภามีมติไม่เห็นชอบให้ผู้ร้องดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

 

ผู้ร้องโต้แย้งว่า การที่วุฒิสภาในฐานะองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐไม่ให้ความเห็นชอบผู้ที่คณะกรรมการสรรหาเสนอชื่อ จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ซึ่งบัญญัติให้ส่งรายชื่อผู้ไม่ได้รับความเห็นชอบกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา “พร้อมด้วยเหตุผล” ทว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่า วุฒิสภาไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ ในการไม่ให้ความเห็นชอบผู้ร้อง ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายและหลักนิติธรรมตามมาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ

 

การไม่ให้เหตุผล ขัดต่อหลักนิติธรรม

 

ผู้ร้องเน้นย้ำว่า มาตรา 12 วรรคเก้า แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าการไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาจะต้อง “มีเหตุผล” เสมอ และสอดคล้องกับมาตรา 12 วรรคสอง ที่ให้กรรมการสรรหาบันทึกเหตุผลในการเลือก ซึ่งเป็นการถ่วงดุลระหว่างคณะกรรมการสรรหากับวุฒิสภา

 

การให้เหตุผลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณาครั้งใหม่ของคณะกรรมการสรรหา นอกจากนี้ ผู้ร้องยังระบุว่า ถ้อยคำ “พร้อมด้วยเหตุผล” มาจากมาตรา 206 วรรคหนึ่ง (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างหลักการถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกัน (Checks and balances) การให้เหตุผลจึงเป็นสาระสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

 

ผู้ร้องได้มีหนังสือขอทราบเหตุผลจากประธานวุฒิสภา และได้รับการตอบกลับจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 โดยระบุว่า การพิจารณาเป็นการประชุมลับ สว. มีการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นแตกต่างกัน ซึ่งเป็นดุลพินิจและเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคน จึงไม่ได้มีการลงมติว่า ไม่ให้ความเห็นชอบด้วยเหตุผลใด เพราะสมาชิกแต่ละคนอาจมีเหตุผลที่แตกต่างกัน

 

ผู้ร้องชี้แจงว่า หนังสือดังกล่าวไม่ใช่การให้เหตุผลตามมาตรา 12 วรรคเก้า เนื่องจาก “เหตุผล” ตามมาตรานี้ หมายถึงเหตุผลที่หยิบยกขึ้นอภิปรายก่อนลงมติ และจะต้องส่งกลับไปยังคณะกรรมการสรรหาพร้อมรายชื่อผู้ไม่ได้รับความเห็นชอบทันที ดังนั้น เหตุผลต้องมีอยู่ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568

 

นอกจากนี้ การอ้างถึงการประชุมลับและเอกสิทธิ์ของสมาชิกตามมาตรา 124 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญนั้นไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ในการให้เหตุผล และวุฒิสภาสามารถดำเนินการทั้งสองอย่างพร้อมกันได้

 

ผู้ร้องยืนยันว่า การไม่ให้ความเห็นชอบโดยไม่มีเหตุผลเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 12 วรรคเก้า แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 และยังเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อหลักนิติธรรมตามมาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้การใช้อำนาจรัฐต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายที่เป็นธรรม สามารถอธิบายและให้เหตุผลได้ การไม่ให้เหตุผลจึงเป็นการกระทำและการใช้อำนาจรัฐที่ไม่สามารถอธิบายหรือให้เหตุผลได้

 

ขอให้เพิกถอนมติ-ระงับการสรรหาใหม่

 

ผู้ร้องจึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและมีคำวินิจฉัยดังนี้:

 

  1. เพิกถอนมติหรือการกระทำของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้อง
  2. ในกรณีที่ศาลมีคำวินิจฉัยตามข้อ 1 ขอให้เพิกถอนหรือยกเลิกกระบวนการสรรหาครั้งใหม่ของคณะกรรมการสรรหาตามประกาศลงวันที่ 31 มีนาคม 2568 รวมถึงมติการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่มีมติแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมติและกระบวนการสรรหาครั้งใหม่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประชุมหรือการลงมติของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและใช้บังคับมิได้

 

ผู้ร้องยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ประกอบกับข้อ 37 และข้อ 40 (6) ของข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562

 

โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้วุฒิสภาหยุดหรือระงับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหาครั้งใหม่ของคณะกรรมการสรรหาที่มีขึ้นภายหลังการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568

 

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรงต่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ หลักนิติธรรม และการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นความเสียหายที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง หากการใช้อำนาจของวุฒิสภาไม่ชอบและไม่อาจใช้บังคับได้

 

โดยเฉพาะการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประกอบด้วยบุคคลจากหลายตำแหน่งสำคัญ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising