เกือบ 1 สัปดาห์ของเหตุการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ ได้แก่ อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ และบุรีรัมย์
การปะทะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้ประชาชนหลายแสนคนที่อาศัยอยู่ใกล้แนวเขตแดน จำต้องละทิ้งบ้านของตนเองอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อเข้าไปศูนย์อพยพชั่วคราว ซึ่งกระจายอยู่หลายร้อยแห่งในหลายอำเภอของทั้ง 4 จังหวัด
เมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือ ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่สามารถทำได้อย่างทันท่วงที โดยมีอุปสรรคสำคัญ คือ หลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัดข้างต้น ยังไม่ได้ประกาศเป็น ‘เขตภัยพิบัติ’ หรือ ‘เขตสงคราม’ อย่างเป็นทางการ
สถานะที่ยังไม่ถูกประกาศเช่นนี้ ส่งผลโดยตรงให้ข้าราชการท้องถิ่น ‘ไม่กล้า’ ใช้งบกลางหรือเงินสำรองจ่ายเพื่อการช่วยเหลือฉุกเฉินได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งที่ความเดือดร้อนของประชาชนอยู่ตรงหน้า และเพิ่มขึ้นทุกวินาที
THE STANDARD สนทนากับ 2 สส. พรรคภูมิใจไทย ในฐานะผู้แทนประชาชนในพื้นที่ชายแดน ได้แก่ ธนา กิจไพบูลย์ชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดศรีสะเกษ เขต 3 และตวงทิพย์ จินตะเวช สส.จังหวัดอุบลราชธานี เขต 11 ร่วมกันสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณในการดูแลประชาชนในศูนย์อพยพในช่วงที่ผ่านมา
ธนา กิจไพบูลย์ชัย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดศรีสะเกษ เขต 3 พรรคภูมิใจไทย
ภาพ: ธนา กิจไพบูลย์ชัย/ Facebook
‘ธนา กิจไพบูลย์ชัย’ สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย บอกเล่าถึงปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณ สำหรับการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชาว่า การดูแลประชาชนในศูนย์อพยพที่จังหวัดศรีสะเกษตลอด 5-6 วันที่ผ่านมา ใช้เงิน ‘บริจาค’ ของประชาชนทั้งสิ้น
เนื่องจากระเบียบการใช้งบของรัฐนั้น ยังไม่มีความชัดเจน รวมถึงยังไม่มีการประกาศเกณฑ์การใช้เงินอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ข้าราชการในพื้นที่ต่างกลัวว่าจะเป็นทำผิดระเบียบจนถูกลงโทษ ขณะเดียวกันกระทรวงมหาดไทยก็ไม่มีระเบียบกฎหมายแน่นอนให้ข้าราชการยึดถืออีกด้วย
สำหรับจังหวัดศรีสะเกษ ขณะนี้มีการประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติเพียงอำเภอเดียว คือ อำเภอกันทรลักษณ์ แม้บางพื้นที่จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามระเบียบกฎหมาย เนื่องจากมีการหารือและทำความเข้าใจแนวทางปฏิบัติร่วมกันในจังหวัดไว้ล่วงหน้าแล้ว
ทั้งนี้ ระเบียบกฎหมายระบุว่า สถานการณ์ความไม่สงบชายแดน ถือเป็น ‘ภัยสงคราม’ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ หรือพื้นที่ใกล้เคียง จึงสามารถให้ความช่วยเหลือได้
จังหวัดศรีสะเกษจะได้รับงบประมาณครั้งแรกในวันอังคารที่ 29 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 6 หลังจากเกิดเหตุปะทะ โดยสามารถนำไปใช้เบิกจ่ายย้อนหลังได้ทั้งหมด ผู้ที่สำรองจ่ายไปก่อนหน้านี้ สามารถเบิกคืนได้เต็มจำนวน
ธนากล่าวอีกว่า จังหวัดตามแนวชายแดนแม้บางพื้นที่จะยังไม่ได้รับการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติอย่างเป็นทางการ แต่หากใช้เป็นพื้นที่รองรับผู้อพยพ ก็สามารถเบิกจ่ายงบประมาณ ทั้งจากงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยกรมบัญชีกลางได้ขยายอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถอนุมัติงบได้สูงสุดถึงจังหวัดละ 100 ล้านบาท ได้ทั้งหมด
แต่ปัญหาหลักในเวลานี้ เมื่อส่วนกลางยังไม่มีประกาศที่เป็นทางการ ข้าราชการระดับภูมิภาคจึงเกิดความกังวล กลัวว่าจะปฏิบัติผิดระเบียบจนถูกลงโทษ แม้ระเบียบจะเปิดช่องว่า ‘สามารถใช้ได้’ ก็ตาม
ดังนั้น ส่วนกลางควรมีการระบุให้ชัดเจนว่า ขั้นตอนการใช้ต้องทำอย่างไร อย่างในกรณีนี้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็ควรมีการประกาศแนวทางที่ชัดเจน เพื่อให้ข้าราชการในพื้นที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมั่นใจ
“ง่ายๆ คือ ส่วนกลางไม่ทําอะไรเลย ไม่มีประกาศสนับสนุนอะไร ข้าราชการภูมิภาคก็กลัวจะติดคุกกันหมด” ธนากล่าว
ส่วนกระบวนการเบิกจ่ายงบในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ธนาอธิบายว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้มีอำนาจเบิกวงเงินทดรองราชการออกมาเป็นงบก้อนใหญ่ ครั้งละไม่เกิน 100 ล้านบาท จากนั้นจะกระจายวงเงินให้แต่ละอำเภอ เพื่อใช้จ่ายตามความจำเป็นในพื้นที่ของตน
ยกตัวอย่างกรณีอำเภอกันทรลักษ์ นายอำเภออาจเบิกวงเงินไว้ประมาณ 10 ล้านบาท ล่วงหน้าสำหรับ 5 วัน เพื่อดูแลประชาชนประมาณ 10,000 คน คิดค่าใช้จ่ายหัวละ 150 บาทต่อวัน เท่ากับใช้งบประมาณวันละ 1,500,000 บาท
เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณมา หัวหน้าศูนย์อพยพจะต้องนำรายชื่อของประชาชนในศูนย์ไปเบิกกับนายอำเภออีกครั้ง เช่น หากหมู่บ้านหนึ่งมีผู้พักพิง 30 คน ก็จะสามารถเบิกค่าใช้จ่ายวันละ 4,500 บาท (30 คน x 150 บาท) ผ่านนายอำเภอ เป็นต้น
ธนา กล่าวถึงยังแนวทางการดูแลผู้พักพิงในเขตเลือกตั้งของตนว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายชื่อผู้พักพิงให้เป็นปัจจุบันที่สุด โดยตรวจเช็กวันละหนึ่งครั้ง และเซ็นชื่อกำกับหลังบัตรประชาชนทุกคน
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าในทางปฏิบัติก็มีข้อจำกัด เช่น บางคนอ้างว่าไม่ได้พกบัตรประชาชนมา และยังมีหลายกรณีในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นช่องให้เกิดการทุจริตได้ แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ความเชื่อใจกัน’ เพราะทุกคนล้วนมีตัวตนจริง และสามารถตรวจสอบภายหลังได้
THE STANDARD จึงถามต่อว่า “ในงบประมาณปี 2568 รัฐบาลมีงบกลางกว่า 800,000 ล้านบาท และงบฉุกเฉินราว 90,000 ล้านบาท แต่เหตุใดในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะการอพยพชายแดนไทย–กัมพูชา ยังต้องเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชนอยู่”
ธนาตอบว่า ความจริงแล้วนายกรัฐมนตรีสามารถใช้งบฉุกเฉินได้ทันที ถ้าจะให้ทั้งง่ายและเร็วที่สุด คือ โอนตรงมายัง อปท. ได้เลย ไม่จำเป็นต้องผ่านอำเภอ เพราะ อปท. เองก็มีเจ้าหน้าที่ที่สามารถเบิกจ่ายได้อยู่แล้ว
เขาอธิบายต่อว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการจัดสรรงบแบบเจาะจงพื้นที่ชายแดนโดยตรง แล้วให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาตรวจสอบภายหลัง ก็จะเป็นแนวทางที่ทั้งเร็วที่สุด ง่ายที่สุด และจบที่สุด
“มากไปกว่านั้นในหลายพื้นที่ ผู้อำนวยการศูนย์พักพิงก็คือ นายก อปท. อยู่แล้ว ส่วนบางศูนย์ก็อาจมี ผอ. โรงเรียน หรือปลัดอำเภอเป็นผู้รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม เงินมี แต่ไม่ให้ใช้ แม้ระบบราชการจะยังล่าช้า แต่คนไทยยังโชคดี เพราะเรารักกัน สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเลยว่า ถ้าไม่ใช่คนไทยกันเอง คิดเหรอว่าจะมีใครมาช่วย”
ธนาสะท้อนอีกประเด็นที่สำคัญ คือ หน่วยงานเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในปัจจุบันมีไม่เพียงพอ ภาระจึงตกหนักไปยังหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมากเกินไป ทั้งที่ในระบบราชการมีบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งควรได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วย เพื่อเข้ามาแบ่งเบาภาระ และสนับสนุนงานในพื้นที่
“หลักๆ ตอนนี้ คือ ส่วนกลางไม่บริหารจัดการอะไรเลยครับ ไม่สนใจอะไร มีแต่แสดงความสงสาร แต่ในความเป็นจริง กลับไม่ทำอะไรที่เป็นรูปธรรม”
ขณะเดียวกัน ในมุมของคนที่เป็นผู้แทนประชาชน ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผู้อพยพที่เหนื่อย ผู้ดูแลเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน เราจึงพยายามให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องอาหารและความเป็นอยู่ เพราะทุกคนมีน้ำใจช่วยเหลือกันมาก
ธนา กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่คนในพื้นที่กังวลมากที่สุด คือ สถานการณ์จะยืดเยื้อไปนานแค่ไหน และจะได้รับการชดเชยค่าใช้จ่ายอย่างไร เพราะแม้ประกาศว่าอาจจะมีมาตรการเยียวยาจ่ายครอบครัวละ 3,000 บาท แต่ถ้าสถานการณ์ลากยาวเป็นเดือน เงินแค่นี้จะเพียงพอในการดำรงชีวิตได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายประเด็นที่คนในพื้นที่ต้องการคำตอบ เช่น ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการอพยพ และกรณีสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ จะมีการช่วยเหลือหรือเยียวยาอย่างไรหรือไม่ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ รวมถึงทหารในพื้นที่ ควรได้รับการประกันภัย หรือมีการสนับสนุนเพิ่มเติมด้วยหรือไม่
ในเมื่อส่วนกลางทราบปัญหาทั้งหมดอยู่แล้ว ก็อยากให้มีการชี้แจงอย่างชัดเจน เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชน มีทั้งงบประมาณ เครื่องมือ และอุปกรณ์ครบพร้อม แต่กลับยังไม่สามารถบริหารจัดการงบประมาณได้เต็มประสิทธิภาพ และยังไม่มีความชัดเจนในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ตวงทิพย์ จินตะเวช สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย
พร้อมด้วยเพื่อน สส. ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
ขณะที่ ตวงทิพย์ จินตะเวช สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า ตลอดเกือบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา การดูแลประชาชนในศูนย์อพยพที่จังหวัดอุบลราชธานี อาศัยของบริจาคเป็นหลัก ทั้งจากโรงครัวพระราชทานและน้ำใจของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งต่างช่วยกันบริหารจัดการกันเองทั้งหมดเช่นกัน
ส่วนงบประมาณจากภาครัฐนั้น ตวงทิพย์กล่าวว่า เท่าที่ทราบ ขณะนี้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี แจ้งว่า อยู่ระหว่างการศึกษาระเบียบกฎหมาย เนื่องจากเกรงว่าจะทำผิดขั้นตอนได้ ทำให้ตอนนี้เราช่วยกันเองไปก่อน และเท่าที่เข้าใจ ถ้าเก็บบิลไว้ น่าจะเบิกย้อนหลังได้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน
ขณะนี้เข้าสู่วันที่ 6 แล้ว บางวันมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักแสนบาท แต่ อบต. ในพื้นที่ก็ไม่ได้มีงบประมาณมากพอที่จะรองรับค่าใช้จ่ายมากขนาดนั้นได้ สุดท้ายชาวบ้านในพื้นที่ก็ต้องช่วยกันเอง โดยฝ่ายราชการช่วยเหลือในเรื่องสิ่งของบ้าง แต่ไม่มีเรื่องงบประมาณเลย
ตวงทิพย์ อธิบายให้ THE STANDARD เห็นถึงสถานการณ์ล่าสุดในพื้นที่ว่า ขณะนี้ที่จังหวัดอุบลราชธานีมีศูนย์อพยพหลักที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการอยู่ราว 67 แห่ง กระจายอยู่หลายอำเภอ จุดศูนย์กลางที่สำคัญ คือ อำเภอเดชอุดม ปัจจุบันมีผู้อพยพเข้ามาแล้วประมาณ 20,000 คน
นอกจากนี้ ยังมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่อพยพไปอยู่กับญาติในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น อำเภอพิบูลมังสาหาร และอำเภอตระการพืชผล แม้ไม่ได้เป็นศูนย์พักพิงอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการรวมตัวกันอยู่ตามศาลากลางหมู่บ้าน ก็มีผู้นำชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการ
“บางจุดไม่ได้จัดเป็นศูนย์ แค่รวมตัวกันอยู่ตามบ้านญาติ ถ้ามีอะไรขาดแคลนก็แจ้งผู้นำชุมชน แล้วพวกเราก็ช่วยกันวิ่งหาของ อย่างพวกนมผง แพมเพิร์ส ฯลฯ ถ้าไม่มีของจากส่วนกลาง เราก็ช่วยกันเอง ของบริจาคตอนนี้ต้องยอมรับว่ามีเยอะมาก พี่น้องคนไทยช่วยกันดีมากจริงๆ” ตวงทิพย์กล่าวและว่า
สิ่งที่คนในพื้นที่ต้องการมากที่สุด อยากให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงลงมาดูสถานการณ์จริง เพื่อรับรู้ว่าคนทำงานในพื้นที่ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และนายอำเภอแต่ละแห่งบริหารจัดการได้ดี แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องงบประมาณที่มีอยู่ในมือ ที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ช่วยเหลือพื้นที่อย่างเต็มที่
“บางจุดมีประชาชนมากเป็นพันคน บางจุดก็มี 300–500 คน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายทุกวัน บางครั้งค่าใช้จ่ายก็เป็นเรื่องจิปาถะเล็กน้อยที่จำเป็น แต่ทุกวันนี้แทบทั้งหมดต้องใช้เงินบริจาค เพราะหน่วยงานราชการยังไม่ได้ให้งบประมาณมาเลย” ตวงทิพย์กล่าว
เวลานี้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนต่างคาดหวังอย่างยิ่งให้สถานการณ์ความขัดแย้งจบลงโดยเร็วที่สุด เพราะทุกคนคิดถึงบ้านของตนเองอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีพายุและมีฝนตกต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนต้องเผชิญกับความลำบากเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ จึงขอความกรุณาจากทางรัฐบาลและผู้มีอำนาจ ให้เร่งบริหารจัดการสถานการณ์อย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งขอให้มีความชัดเจนในเรื่องการอนุมัติงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่โดยเร็วที่สุด เนื่องจากยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปอีกนานเพียงใด
อย่างไรก็ตาม เสียงสะท้อนจากผู้แทนของประชาชนจากทั้ง 2 จังหวัดชายแดนต่างยืนยันว่า หน่วยงานท้องถิ่นทำงานอย่างเต็มกำลัง แต่ติดอยู่ที่ระบบส่วนกลางไม่ส่งสัญญาณชัดเจน เกี่ยวกับระเบียบกฎหมายของงบประมาณ จึงไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างทันท่วงที
ดังนั้นในภาวะเช่นนี้ สิ่งที่รัฐบาลควรทำให้เร็วที่สุด ไม่ใช่เพียงการประเมินสถานการณ์ แต่คือ การปลดล็อกระเบียบกฎหมายที่เป็นอุปสรรค พร้อมออกคำสั่งที่ชัดเจน เพื่อให้งบประมาณที่มีอยู่ได้ถูกนำมาใช้จริง เพราะศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของประชาชน ควรได้รับความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการรักษาอธิปไตยที่ชายแดน