เหตุปะทะรุนแรงระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชา ที่บริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้กับปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่ในเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เมื่อฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงด้วยอาวุธหนัก ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
สถานการณ์บานปลายอย่างรวดเร็ว เมื่อกัมพูชารุกรานเข้าพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมถึงโรงเรียนและโรงพยาบาล ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีกระสุนปืนใหญ่จำนวนหนึ่งพลาดเป้าตกในพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งกองทัพไทยยืนยันว่า ‘ไม่ได้เป็นฝ่ายยิง’
ทางรัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อสื่อมวลชนนานาชาติว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน แต่กำลังทำหน้าที่ปกป้องความมั่นคงของประเทศ ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการยิงและหันหน้าเข้าสู่การเจรจาสันติวิธี เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจลุกลามไปยังภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมาเลเซียมาเป็นตัวกลางที่ช่วยไกล่เกลี่ย แต่ก็ยังทำให้ประชาชนหลายคนเกิดคำถามอยู่ดีว่า “แล้วอาเซียนมีไว้เพื่ออะไร” เมื่อสมาคมมีทั้งหมด 10 ประเทศ แต่กลับมีเพียงประเทศเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ในเวลาที่เกิดวิกฤตความขัดแย้งรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ระหว่างประเทศสมาชิกในภูมิภาคเช่นนี้
จุดเริ่มต้นของ ‘สมาคมอาเซียน’ เพื่อเสถียรภาพของภูมิภาค
ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ยกเว้นประเทศไทย ต่างได้รับเอกราช แต่อิสรภาพที่เพิ่งได้รับมา ก็ไม่ได้มาพร้อมกับสันติภาพ เนื่องจากประเทศต่างๆ ยังคงเผชิญกับปัญหาหลากหลาย ทั้งข้อพิพาทเรื่องพรมแดน ความมั่นคงภายใน และลัทธิคอมมิวนิสต์ที่แผ่ขยายเข้ามาในภูมิภาค
หนึ่งในความพยายามด้านความมั่นคงในช่วงแรก คือ การจัดตั้ง ‘องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Treaty Organization) หรือ ซีโต้ (SEATO) ในปี 1954 เพื่อต่อต้านการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ แต่มีเพียงประเทศไทยและฟิลิปปินส์เท่านั้น ที่เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศตะวันตก รวมถึงยังไม่สามารถสร้างกลไกความร่วมมือที่สอดคล้องกับภูมิภาคได้
ในปี 1961 ประเทศฟิลิปปินส์, ไทย และสหพันธรัฐมลายา ได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กรความร่วมมือที่มีชื่อว่า ASA (Association of Southeast Asia) โดยลงนามที่ปฏิญญากรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ในปีเดียวกัน เพื่อรักษาสันติภาพ เสรีภาพ และพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน
ต่อมาในปี 1963 ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสหพันธรัฐมลายา ได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กร มาฟิลินโด (Maphilindo) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อใช้กระบวนการปรึกษาหารือและฉันทามติ โดยได้รับการสนับสนุนจากแนวคิด เอเชียเพื่อชาวเอเชีย ของประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซีย
แต่ก็เกิดปัญหาความขัดแย้งทางดินแดน จากการจัดตั้งประเทศมาเลเซีย ที่รวมพื้นที่ ซาราวักและซาบาห์เข้ากับประเทศ ทำให้เป็นจุดแตกหักขององค์กรดังกล่าว
จากบทเรียนของความล้มเหลวในการรวมตัวครั้งที่ผ่านมา ทำให้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (ซึ่งในบทความจะใช้คำว่า สมาคมอาเซียน) ถูกจัดตั้งขึ้นมาด้วยข้อตกลงและความจริงจังของสมาชิก โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1967 ณ กระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย
การรวมตัวกันครั้งนี้เกิดจากการลงนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจาก 5 ประเทศ ได้แก่ อาดัม มาลิก (อินโดนีเซีย), ตุนกู อับดุล ราซัก บิน ฮุสเซน (มาเลเซีย), นาซิโซ รามอส (ฟิลิปปินส์), เอส ราชารัตนัม (สิงคโปร์) และพันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (ประเทศไทย)
รัฐมนตรีจากทั้ง 5 ประเทศดังกล่าว ได้ร่วมลงนามในเอกสารสำคัญที่เรียกว่า ‘ปฏิญญาอาเซียน’ หรือ ปฏิญญากรุงเทพ ซึ่งกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของสมาคมไว้อย่างชัดเจน ดังนี้
1. ส่งเสริมความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อสร้างรากฐานสู่สันติภาพในภูมิภาค
2. ส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมและกฎบัตรแห่งสหประชาชาติ
3. เสริมสร้างความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิชาการ และการบริหาร
4. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการศึกษา อาชีพ และวิชาการ
5. ร่วมมือกันพัฒนาเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้า การขนส่ง การสื่อสาร รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
6. สนับสนุนการเรียนรู้และศึกษาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
7. ประสานความร่วมมือกับองค์กรระดับภูมิภาค และนานาชาติที่มีจุดมุ่งหมายคล้ายคลึงกัน
ภายหลังการก่อตั้ง อาเซียนได้ขยายจำนวนสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม เข้าร่วมในวันที่ 8 มกราคม 1984, เวียดนาม เข้าร่วมในวันที่ 28 กรกฎาคม 1995, ลาวและเมียนมา เข้าร่วมในวันที่ 23 กรกฎาคม 1997 และกัมพูชา เข้าร่วมในวันที่ 30 เมษายน 1999
จาก 5 ประเทศที่จุดเริ่มต้น กลายเป็นประชาคม 10 ประเทศในปัจจุบัน และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือและสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคร่วมกัน
ที่มา: ASEAN Main Portal
‘กฎบัตรอาเซียน’ รัฐธรรมนูญของภูมิภาค
สมาคมอาเซียนเกาะกลุ่มอยู่ด้วยมาเป็นเวลาหลายสิบปี พร้อมกับข้อตกลงและหลักการต่างๆ พร้อมกับความเข้มแข็งของสมาคมที่มากยิ่งขึ้น จนในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2007 ในวาระครบรอบ 40 ปีของการก่อตั้งสมาคม ได้ลงนามรับรอง กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งเป็นกรอบทางกฎหมายร่วมกันของสมาคม และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2008
กฎบัตรอาเซียน ได้กำหนดโครงสร้าง หลักการพื้นฐาน และกลไกการดำเนินงานของอาเซียนไว้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การรวมกลุ่มมีเอกภาพ มีหลักนิติธรรม และสามารถตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการร่วมกับพัฒนาความมั่นคง เสถียรภาพทุกๆ ด้านภายในภูมิภาค
หนึ่งในหลักการสำคัญที่กฎบัตรอาเซียน คือ หลักไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน (Non-Interference Principle) ซึ่งปรากฏอยู่ใน ข้อ 2 วรรค 2 (จ) ของกฎบัตร โดยระบุให้ประเทศสมาชิก ไม่แทรกแซงกิจการภายในรัฐสมาชิกอาเซียน ซึ่งเป็นเสาหลักของ ASEAN WAY หรือ วิถีอาเซียน
ถึงแม้หลักการนี้จะช่วยรักษาเสถียรภาพของภูมิภาค แต่ก็กลายเป็นข้อจำกัดในสถานการณ์ความขัดแย้งหรือความรุนแรง นอกจากหลักการไม่แทรกแซงแล้ว กฎบัตรอาเซียนยังให้ความสำคัญกับการ แก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีและหลักนิติธรรม โดยระบุไว้ใน ข้อ 2 วรรค 2 (ซ) ว่าประเทศสมาชิกจะต้องยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ในข้อ 23-25 ของกฎบัตร ยังระบุถึงกลไกในการระงับข้อพิพาทอย่างสันติ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา ปรึกษาหารือ โดยสามารถให้ประธานอาเซียน เลขาธิการอาเซียน หรือใครก็ตามที่น่าเชื่อถือเป็นคนกลางเพื่อระงับข้อพิพาท
แต่ในความเป็นจริงแล้วกลไกตามกฎบัตรอาเซียนเหล่านี้ กลับแทบไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจากหากคู่กรณีข้อพิพาทไม่เห็นชอบในการให้บุคคลที่ 3 เข้ามาไกล่เกลี่ย
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญในกฎบัตรอาเซียน คือ การกำหนดให้อาเซียนเป็น เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างสูงทุกชนิด ตามความมุ่งประสงค์ของอาเซียน แม้ว่าจะไม่มีประเทศใดที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์โดยตรง แต่หลักการข้อนี้สำคัญต่อเสถียรภาพด้านความมั่นคงของภูมิภาค โดยเฉพาะในบริบทที่ความขัดแย้งชายแดนอาจลุกลาม หากไม่มีแนวทางควบคุมอาวุธหรือสร้างความเชื่อมั่นร่วมกัน
นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่กฎบัตรอาเซียนเท่านั้นที่เน้นย้ำถึงหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศของรัฐสมาชิก แต่ยังมีสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ที่เน้นย้ำถึงหลักการดังกล่าวและการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
กฎบัตรอาเซียนจึงเปรียบเสมือน ‘รัฐธรรมนูญของภูมิภาค’ ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความร่วมมือ ความไว้วางใจ และกลไกการแก้ปัญหาที่ไม่ต้องพึ่งพาประเทศมหาอำนาจ
แต่หลักการเหล่านี้ก็ยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำได้จริง โดยเฉพาะเมื่อเกิดกรณีพิพาทที่ซับซ้อน และกระทบต่ออธิปไตยของประเทศสมาชิก
ที่มา: Department of Foreign Affairs, Republic of the Philippines / Facebook
‘ไม่แทรกแซง’ และ ‘ฉันทามติ’ ข้อจำกัดของ ASEAN WAY
นอกจาก ‘กฎบัตรอาเซียน’ ที่เป็นกรอบกฎหมายร่วมกันระหว่างชาติอาเซียนแล้ว ยังมีข้อกำหนดลักษณะวิถีของอาเซียน หรือ ASEAN WAY แม้จะความคล้ายคลึงกับกฎบัตรอาเซียน แต่วิถีของอาเซียนมีมานานตั้งแต่ก่อนก่อตั้งสมาคมอาเซียน ซึ่งเป็นวิธีการทำงานร่วมกันทางการทูตอย่างไม่เป็นทางการ
ด้วยความที่รัฐทุกรัฐต่างหวงแหนอำนาจอธิปไตยในพื้นที่ของตนเอง ข้อกำหนดของวิถีอาเซียน จึงกำหนดห้ามไม่ให้แทรกแซงกิจการภายในรัฐประเทศสมาชิก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาททางอธิปไตยขึ้น และได้กำหนดรูปแบบการขจัดความขัดแย้งเรื่องข้อพิพาทในอาเซียน 5 แนวทาง ได้แก่
- การทูตแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
- การสร้างเครือข่าย
- การลงมติว่าไม่ต้องเห็นตรงกัน (Agree to disagree)
- การไกล่เกลี่ยโดยอาศัยบุคคลที่สาม
- การยึดหลักเกณฑ์การปรึกษาหารือ และการใช้หลักฉันทามติ
หลักฉันทามติ (Consensus) คือ การที่ทุกฝ่ายต้องเห็นพ้องตรงกัน เพื่อรักษามิตรภาพระหว่างประเทศสมาชิก หรือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะความสันติภาพและความมั่นคงภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งสมาคมอาเซียน ยึดหลักฉันทามติในการตัดสินใจประเด็นต่างๆ ร่วมกันมาโดยตลอด
หลักฉันทามติของสมาคมอาเซียน แตกต่างจากหลักการลงคะแนนเสียง หรือการโหวตเหมือนการรวมกลุ่มสมาชิกประเทศอื่นๆ โดยใช้วิธีการพูดคุยระหว่างสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน หากมีประเทศสมาชิกใดแม้แต่ประเทศเดียวที่ไม่เห็นด้วย มตินั้นๆ ก็จะไม่สามารถดำเนินการต่อได้
ข้อดีของหลักฉันทามติ คือ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและรักษาน้ำใจของประเทศสมาชิก แต่ข้อเสีย คือ ทำให้การตัดสินใจร่วมกันในสมาคมอาเซียนมีกระบวนการตัดสินใจที่ใช้เวลานาน ทำให้เกิดความล่าช้า และอาจพลาดการผลักดันนโยบายที่สำคัญ
แม้สมาคมอาเซียนจะสามารถใช้กลไกการเจรจา หรือส่งตัวแทน เช่น ประธานอาเซียน เลขาธิการอาเซียน หรือบุคคลที่สามที่ได้รับการยอมรับ เข้าไปทำหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อช่วยแก้ไขข้อพิพาทได้ตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรอาเซียน
แต่ในทางปฏิบัติกลไกเหล่านี้กลับไม่สามารถดำเนินการได้จริง หากประเทศคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม หรือปฏิเสธการแทรกแซงจากภายนอก ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดของวิถีอาเซียน (ASEAN WAY) ที่เน้นความสมัครใจและฉันทามติเป็นหลัก โดยไม่มีบทลงโทษหรือมาตรการบังคับใช้เพื่อให้คู่กรณีต้องยอมรับกระบวนการเหล่านั้น
ข้อจำกัดนี้แตกต่างอย่างชัดเจนจากองค์กรระหว่างประเทศระดับภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพยุโรป (European Union – EU) และ สหภาพแอฟริกา (African Union – AU) ที่มีโครงสร้างองค์กรในลักษณะกึ่งเหนือรัฐ (supranational หรือ intergovernmental with enforcement power)
ที่สามารถใช้กลไกทางกฎหมายหรือมาตรการตอบโต้ได้จริง ในกรณีที่ประเทศสมาชิกละเมิดพันธะสัญญาร่วม เช่น EU มี คณะกรรมาธิการยุโรป ที่สามารถเสนอให้มีการใช้มาตรา 7 แห่งสนธิสัญญาสหภาพยุโรป เพื่อระงับสิทธิ์การออกเสียงของประเทศสมาชิกที่ละเมิดหลักนิติธรรมหรือสิทธิมนุษยชน ซึ่งเคยถูกใช้กับโปแลนด์และฮังการี
ขณะที่ AU มี Peace and Security Council ที่สามารถส่งภารกิจติดตามข้อเท็จจริง (Fact-finding missions) เข้าไปในพื้นที่ขัดแย้ง และสามารถระงับสมาชิกภาพของรัฐที่เกิดรัฐประหาร หรือใช้อำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
กลไกตามสหภาพทั้งสองไม่เคยมีปรากฏในสมาคมอาเซียน เนื่องจากการเลือกที่จะเคารพอธิปไตยของรัฐสมาชิก จึงไม่มีฝ่ายใดสามารถใช้อำนาจบังคับได้จริง แม้ในกรณีที่เกิดการปะทะกันระหว่างประเทศสมาชิกก็ตาม ทำให้สมาคมอาเซียนกลายเป็นเพียงเวทีหารืออย่างไม่จริงจัง จึงไม่สามารถจัดการกับวิกฤตร้ายแรงหรือเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
ที่มา: กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ
ไทย-กัมพูชา ปัญหาในอดีตที่ไม่ได้รับการแก้ไข
หนึ่งในข้อพิสูจน์สำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า แนวทางวิถีอาเซียนนั้นไม่มีประสิทธิภาพ คือปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ไม่ใช่แค่ในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่หลายครั้งที่ผ่านมา สมาคมอาเซียนไม่มีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาเลย
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้อพิพาทบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร แม้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ICJ) จะตัดสินให้กัมพูชาได้พื้นที่ตัวปราสาทเขาพระวิหาร ในปี 1962 แต่บริเวณพื้นที่โดยรอบที่อยู่ติดกับตัวปราสาทราว 4.6 ตารางกิโลเมตร กลับไม่มีคำตัดสินที่ชัดเจน ส่งผลให้บริเวณชายแดนมีการปะทะกันมาโดยตลอด
จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2008 กัมพูชาได้ยื่นขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแก่องค์การ UNESCO โดยไม่ได้มีการปรึกษาหารือกับประเทศไทย ทำให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดน ทหารทั้งสองประเทศต่างยิงตอบโต้ปะทะกัน โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวว่า อีกประเทศเป็นผู้รุกราน ทำให้สถานการณ์บานปลายข้ามปี และมีผู้เสียชีวิต
การปะทะรุนแรงมากขึ้นในช่วงวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ 2011 โดยมีการใช้อาวุธหนัก เช่น ปืนใหญ่ จรวด RPG หรือกระสุนระเบิดปะทะ ทำให้ต้องอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนกว่าหลายพันคนออกจากพื้นที่ และมีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน รวมถึงตัวปราสาทบางส่วนได้รับความเสียหาย
ก่อนที่ในช่วงเดือนเมษายน จะขยายพื้นที่ปะทะไปยังบริเวณปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ที่ปัจจุบันเกิดเหตุปะทะกันอยู่ แต่สองปราสาทดังกล่าว ห่างจากบริเวณตัวเขาพระวิหารและบริเวณโดยรอบกว่าสิบกิโลเมตร
กัมพูชาได้ร้องเรียนไปทางศาลโลก เพื่อขอให้ตีความคำตัดสินเดิมในปี 1962 อีกครั้ง และขอให้มีมาตรการชั่วคราวให้ทหารไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่พิพาท ต่อมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2011 ศาลโลกได้มีคำสั่งมาตรการชั่วคราวให้ทั้งสองประเทศถอนกำลังทหาร และตั้งเขตปลอดทหารรอบบริเวณตัวปราสาท โดยให้ผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนั้นเข้าตรวจสอบ
แม้สมาคมอาเซียนจะพยายามเข้ามามีบทบาทในการเป็นตัวกลางช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ความตึงเครียด ผ่านประธานอาเซียนในปี 2011 แต่รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ในขณะนั้น ไม่ยอมรับบทบาทของประเทศที่สาม และต้องการเจรจาแบบทวิภาคี
ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2013 ศาลโลกได้ตัดสินคำพิพากษาเดิม และให้พื้นที่โดยรอบบริเวณปราสาทเป็นของกัมพูชา เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนจึงสงบลง และสองประเทศได้เจรจาทวิภาคีผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จากข้อตกลง MOU 43 ในสมัยรัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’
จากการตกลงดังกล่าว แม้จะยังไม่มีพื้นที่บางส่วนที่ตกลงแนวเขตแดนกันอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ปะทะรุนแรงเกิดอีก จนกระทั่งเหตุการณ์ในปัจจุบันในประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนอีกครั้ง ในพื้นที่เดิม สถานการณ์เดิม และลักษณะที่คล้ายเดิม
ที่มา: kmer.voanews
ยอมรับบทบาทประเทศที่ 3 สัญญาณความเปลี่ยนแปลงของอาเซียน
จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งในปี 2011 และปี 2025 ทำให้เกิดคำถามซ้ำๆ ว่า “แล้วอาเซียนมีไว้ทำไม” เพราะในเมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกันเอง แถมยังเป็นการละเมิดข้อตกลงสำคัญ รวมถึงหลักสิทธิมนุษยชนที่อาเซียนเองก็เคยร่วมลงนามไว้ แต่สุดท้ายประเทศอื่นๆ กลับนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์อย่างจริงจัง
เหตุผลหลักอาจมาจากหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของแต่ละประเทศ ซึ่งถือเป็นหลักที่อาเซียนยึดมาโดยตลอด ทำให้เวลาที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิก อาเซียนจะมองว่าเป็นเรื่องทวิภาคี ไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง ยกเว้นแต่ว่าทั้งสองฝ่ายจะร้องขอความช่วยเหลือ
แต่เหตุการณ์ในปี 2025 นี้ สถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงสำคัญของสมาคมอาเซียน โดย อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนคนปัจจุบัน ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของสมาคมอาเซียน
การเจรจาดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม เวลาประมาณ 15.00 น. ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งผลการเจรจาสามารถตกลงให้มีการหยุดยิงในทันที โดยมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 พร้อมกับกำหนดนัดประชุมกองกำลังของทั้งสองประเทศในเช้าวันรุ่งขึ้น และวางแผนจัดการประชุม GBC (General Border Committee) ในวันที่ 4 สิงหาคม ณ กรุงพนมเปญ ภายใต้กรอบความร่วมมือตาม MOU 2543 ซึ่งเคยถูกแช่แข็งไปนานหลายปี
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ผลการเจรจาระหว่างประเทศผ่านประธานอาเซียนจะดูเหมือนเป็นไปในทิศทางที่ดีต่อสมาคมอาเซียนเอง และทั้งสองประเทศ แต่เมื่อการเจรจาเสร็จสิ้น ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา สถานการณ์ความรุนแรงก็ยังไม่คลี่คลายและปะทะกันอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายกัมพูชาได้เสริมกำลังกองทัพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยอาจหวังยึดพื้นที่ให้ได้ก่อนเที่ยงคืนตามข้อตกลงเจรจาดังกล่าว
หากพิจารณาผลการเจรจานี้ในมุมมองของสมาคมอาเซียน ก็จะเห็นได้ว่า ครั้งนี้มีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับกรณีความขัดแย้งบริเวณชายแดนในปี 2011 ที่แม้อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนในขณะนั้น จะพยายามเป็นตัวกลางในการช่วยเจรจา แต่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ยังคงยืนยันหนักแน่นในหลักการเจรจาทวิภาคี ปฏิเสธการให้ประเทศที่สามเข้ามาเป็นตัวกลาง และในท้ายที่สุดปัญหาก็ถูกดึงเข้าสู่กระบวนการศาลโลก
จึงสะท้อนถึงบทบาทเชิงบวกของสมาคมอาเซียน จากผู้สังเกตการณ์ตามกำหนดของศาลโลก สู่ผู้ไกล่เกลี่ยที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า ข้อจำกัดด้านการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิกนั้น กำลังจะถูกทบทวนใหม่อีกครั้ง
ในขณะที่ประเทศสมาชิกอื่นๆ ยังไม่มีท่าทีหรือแสดงจุดยืนที่ชัดเจน อาจมีเหตุผลว่า แต่ละประเทศเองก็เคยมีข้อพิพาท หรือความตึงเครียดกับสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
เช่น ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratly Island Dispute) ระหว่างฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม และมาเลเซีย รวมถึงประเทศอื่นนอกสมาคมอาเซียน แม้จะไม่รุนแรงเท่า
แต่ก็อาจเกิดการเปรียบเทียบหรือวิพากษ์วิจารณ์ทางการทูต ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยตรง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและเสถียรภาพโดยรวมของภูมิภาค
ดังนั้น หากมองในมุมสมาคมอาเซียน ก็เป็นสัญญาณที่ดีของบทบาทสมาคมอาเซียน ที่จะแสดงให้ทุกฝ่ายเห็นว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่เวทีพูดคุยเชิงสัญลักษณ์ แต่เริ่มพัฒนาเข้าสู่สมาคมระดับภูมิภาคที่สามารถแก้ไขวิกฤตปัญหาได้จริง โดยไม่จำเป็นต้องให้ประเทศอื่นนอกภูมิภาคเข้ามาแทรกแซง
อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์นี้จะแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเชิงบวกของสมาคมอาเซียน แต่ก็ยังต้องจับตาต่อไปว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ไม่ว่าจะกับพื้นที่ใดในประเทศสมาชิก สมาคมอาเซียนจะยังมีบทบาทในฐานะคนกลางอย่างต่อเนื่องหรือไม่ และประเทศอื่นๆ จะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนมากกว่านี้หรือไม่
และสมาคมอาเซียนควรจะมีกลไกการจัดการปัญหาข้อพิพาทที่เข้มแข็งกว่านี้หรือไม่ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและความมั่นคงในระดับภูมิภาค เช่นเดียวกับองค์กรความร่วมมืออื่นๆ ที่สามารถประสานความร่วมมือและจัดการกับวิกฤตของประเทศสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง:
- https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ปฏิญญากรุงเทพ
- https://asean.org/the-founding-of-asean/
- https://image.mfa.go.th/mfa/0/OcXc7u4THG/migrate_directory/other-20130528-092411-875705.pdf
- https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=สนธิสัญญามิตรภาพเเละความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้_(Treaty_of_Amity_and_Cooperation_in_Southeast_Asia_หรือ_TAC)
- https://eastasiaforum.org/2011/03/01/asean-and-the-cambodia-thailand-conflict/
- https://ebrary.net/187864/law/article_overview_system
- https://au.int/en/PSC