×

‘เดอ บรอยน์ VS. เฮนเดอร์สัน’ ใครควรได้นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี?

24.07.2020
  • LOADING...

วันนี้ (24 กรกฎาคม) เป็นอีกวันหนึ่งที่สำคัญของวงการฟุตบอลอังกฤษ ในฐานะวันที่แฟนบอลทุกคนจะได้รับรู้ว่าใครท่ีจะได้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปีนี้

 

โดยในช่วงเช้า ตามเวลาเมืองผู้ดี ทางด้านสมาคมนักข่าวฟุตบอลได้ประกาศรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี Football Writer’s Award ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และปรากฏว่าเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล ที่คว้ารางวัลไปครอง 

 

การได้รางวัลครั้งนี้ของเฮนเดอร์สัน – ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ครั้งแรกในชีวิตการเล่นของดาวเตะวัย 30 ปี – ทำให้เกิดประเด็นถกเถียงกันอย่างมากบนโลกโซเชียลถึงความเหมาะสมของการได้รับรางวัลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่แข่งในปีนี้ของเขาคือ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพที่ได้การยอมรับว่า ‘น่าจะ’ เป็นกองกลางที่เก่งที่สุดในโลกเวลานี้

 

อย่างไรก็ดี ในรางวัล FWA นั้น เกณฑ์ในการตัดสินของคณะกรรมการซึ่งล้วนเป็นผู้สื่อข่าวผู้ทรงคุณวุฒิไม่ได้ตัดสินกันแค่เรื่องของเกมในสนาม หากแต่เรื่องนอกสนามเองก็มีส่วนสำคัญด้วย

 

เฮนรี วินเตอร์ หนึ่งในผู้สื่อข่าวระดับชั้นนำของอังกฤษ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับรางวัล #FOTY20 (Footballer of the Year 2020) กัปตันของทีมแชมป์ กองกลางที่เป็นพลังขับเคลื่อนของทีม และเป็นผู้จัดตั้ง #PlayersTogether (แคมเปญการบริจาคเงินของนักฟุตบอลพรีเมียร์ลีก) ระดมทุนให้ NHS และบุคลากรทางการแพทย์ที่สำคัญ ซึ่งทำให้เขาได้คะแนนไปมากในรางวัลนี้ด้วยความดีและการเป็นตัวอย่างที่ดี”

 

อย่างไรก็ดี วินเตอร์ไม่ได้โหวตให้เฮนเดอร์สันแต่อย่างใด โดยเขาโหวตให้กับเดอ บรอยน์ ด้วยเหตุผลว่า “ยกระดับเกมไปอีกขั้น 11 ประตูกับ 19 แอสซิสต์จากการเล่น 34 นัด ระยะการผ่านบอลที่เหลือเชื่อทั้งวิสัยทัศน์และความแม่นยำ ทั้งยังสม่ำเสมอ น่าจะเป็นกองกลางที่เก่งที่สุดในโลกเวลานี้ และในเรื่องของความดีและการเป็นแบบอย่าง KDB ก็ทำไม่แตกต่างกัน”

 

อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหนึ่งรางวัลสำคัญที่จะมีการประกาศเช่นกันในคืนนี้ และเป็นรางวัลที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าอย่างรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หรือ PFA ซึ่งถือเป็นรางวัลส่วนบุคคลที่ทรงเกียรติที่สุดสำหรับเหล่านักเตะที่ค้าแข้งอยู่ในประเทศอังกฤษ

 

ความจริงแล้วรางวัลนี้ควรจะมีการประกาศกันไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมาแล้วที่เมืองแมนเชสเตอร์ – ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีงานเลี้ยงและพิธีการประกาศรางวัลกันนอกกรุงลอนดอน – แต่งานดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

 

นั่นทำให้แม้จะมีการส่งใบลงคะแนนโหวตให้แก่นักฟุตบอลอาชีพทุกคนเป็นผู้โหวตตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว แต่ทุกคนต้องรอผลการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

 

แน่นอนว่าตัวเต็งในเวลานี้ยังคงเป็นสองรายนี้เหมือนเดิม

 

เควิน เดอ บรอยน์ หรือจอร์แดน เฮนเดอร์สัน?

 

 

#ทีมเดอบรอยน์

ถึงแม้ว่าในฤดูกาลนี้แมนเชสเตอร์​ ซิตี้ จะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้ แถมคะแนนยังตามหลังลิเวอร์พูลคู่แข่งแบบเละเทะ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของยอดมิดฟิลด์ชาวเบลเยียมเลยแม้แต่น้อย

 

เดอ บรอยน์ ในวัย 29 ปี ซึ่งสลัดอาการบาดเจ็บกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้งในฤดูกาลนี้ และฟอร์มการเล่นนั้นเข้าขั้นสุดยอดอย่างแท้จริง

 

ในฤดูกาล 2019-20 เดอ บรอยน์ ทำไปแล้ว 11 ประตู และที่สุดยอดกว่าคือการทำไปแล้วถึง 19 แอสซิสต์ หรือรวมแล้วมีส่วนร่วมกับการได้ประตูของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 30 ประตู คิดเป็นอัตราส่วนเกือบ 30% ของจำนวนประตูที่ทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ ทำได้ในฤดูกาลนี้ (ล่าสุดอยู่ที่ 97 ประตู)

 

หลายๆ นัดที่เดอ บรอยน์ แสดงให้เห็นถึงระดับชั้นของการเล่นที่เหนือและแตกต่างจากคู่แข่งทุกคนอย่างชัดเจน เรียกได้ว่าอาจจะเป็นนักฟุตบอลที่มี ‘เซนส์’ สูงที่สุดคนหนึ่งของยุคนี้เลยทีเดียว โดยเฉพาะการเปิดบอลที่คมกริบเหมือนติดเรดาร์

 

ด้วยฟอร์มสุดยอดตลอดทั้งปี ทำให้แม้ซิตี้จะไม่ประสบความสำเร็จในลีก แต่มีคนจำนวนมากเชื่อว่าหากวัดเฉพาะฟอร์ม ‘ส่วนตัว’ อย่างเดียวแล้ว จอมทัพเบลเยียมซึ่งเติบโตขึ้นไปอีกขั้นคือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้

 

 

#ทีมเฮนโด

จากนักเตะที่ทุกคนตั้งข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการทีม เพื่อนร่วมทีม หรือแม้แต่แฟนฟุตบอล วันนี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในอังกฤษ

 

ผลงานการนำลิเวอร์พูลกวาดแชมป์ทั้งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ, ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ และล่าสุดกับถ้วยที่สำคัญที่สุดของทั้งสโมสรและตัวนักฟุตบอลในทีม ‘หงส์แดง’ ทุกคนอย่างพรีเมียร์ลีก​ ซึ่งเป็นการกลับมาคว้าแชมป์ได้ครั้งแรกในรอบ 30 ปี ทำให้เฮนเดอร์สันยิ่งโดดเด่นขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

 

เพราะแม้แต่สุดยอดนักเตะซึ่งเป็น ‘กัปตันตลอดกาล’ อย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด เองก็ไม่สามารถทำความฝันให้เป็นความจริงได้ ในขณะที่เฮนเดอร์สันทำได้

 

ทั้งนี้แม้จะไม่ได้เป็นนักเตะที่มีเทคนิคเหนือชั้นสูงส่ง แต่การเล่นของเฮนเดอร์สันนั้นถือว่าทรงประสิทธิภาพและเล่นได้รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเกมรับที่แข็งแกร่ง การอ่านเกม ความเป็นนักสู้ ความเป็นผู้นำ ความเสียสละ ไปจนถึงเรื่องของเกมรุกที่สามารถสนับสนุนเกมของทีมได้เป็นอย่างดีจากพื้นฐานที่เป็นกองกลางในสไตล์ box-to-box อยู่เดิม และมีการเปิดบอลที่แม่นยำไม่ใช่ย่อย

 

มากกว่านั้นคือความสามารถของการเป็น ‘สายซับ’ ที่พร้อมจะสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมทุกอย่าง ไม่ว่าจะลงมาช่วยซ้อนในเกมรับ หรือขึ้นไปเติมในเกมรุก และพร้อมจะเล่นทุกตำแหน่งที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ร้องขอโดยไม่อิดออด

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เฮนเดอร์สันเองก็มีความเหมาะสมที่จะได้รางวัลนี้เช่นกัน

 

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เจ้าของรางวัลเมื่อปีที่แล้ว

 

#ทีมคนอื่น

นอกเหนือจากเดอ บรอยน์ และเฮนเดอร์สันแล้ว ยังมีกลุ่มนักเตะที่ถูกคาดว่าจะอยู่ในข่ายอีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น

 

ซาดิโอ มาเน: หนึ่งในนักเตะที่โชว์ฟอร์มสุดยอดสม่ำเสมอของลิเวอร์พูล และในปีนี้เขาคือนักเตะที่โดดเด่นและช่วยเหลือทีมมากที่สุดใน 3 ประสานแดนหน้าของทีม

 

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์: แบ็กขวาจอมแอสซิสต์ที่เติบโตและยกระดับการเล่นของตัวเองไปอีกขั้น โดยเฉพาะเรื่องของการทำประตูจากลูกตั้งเตะ ลูกปั่นโค้งๆ เสียบตาข่ายเชลซีเป็นสัญญาณเตือนทุกทีมว่าเจอแบบนี้อีกแน่นอนในอนาคต

 

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค: เจ้าของรางวัลเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ผลงานของ ‘บิ๊กเวิร์จ’ ดรอปลงเล็กน้อย แต่ยังมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการนำลิเวอร์พูลได้แชมป์พรีเมียร์ลีก

 

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์: เจ้าของรางวัลเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปีนี้ The Egyptian King ผลงานดรอปลงในเรื่องของการทำประตู แต่ยังมีส่วนสำคัญกับทีม โดยเฉพาะตัวเลขของการแอสซิสต์ที่หลายคนมองข้าม

 

ฟาบินโญ: กองกลางตัวรับที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดคนหนึ่งในพรีเมียร์ลีก ความนิ่ง การอ่านเกม และความสามารถในการตัดเกมอย่างแม่นยำ รวมถึงการเปลี่ยนจังหวะจากรับเป็นรุก การเปิดบอลที่แม่นยำ และลูกยิงไกลที่หนักหน่วง

 

ราฮีม สเตอร์ลิง: ปีนี้เป็นอีกปีที่ ราฮีม สเตอร์ลิง พัฒนาการเล่นในสนามขึ้นมาอย่างมาก แต่ที่เด่นไม่แพ้กันคือความเป็นนักสู้และความเป็นผู้นำ ในฐานะของ ‘แถวหน้า’ ที่ต่อสู้กับเรื่องของการเหยียดสีผิว ซึ่งเรื่องนี้น่ายกย่องไม่น้อย

 

อลิสซง: นายทวารจอมหนึบผู้ชอบใช้เวลาอัดคลิปลูกและปิ้งบาร์บีคิวลงโซเชียลมีเดีย ยังรักษามาตรฐานการเล่นในระดับสูง และมีส่วนอย่างมากกับความสำเร็จของลิเวอร์พูล ลูกปาบอลยาวให้ โม ซาลาห์ เข้าไปยิงประตูในเกมแดงเดือดยังตราตรึงในใจแฟนบอล

 

เจมี วาร์ดี: ในวัย 33 ปี วาร์ดีกลับมาร้อนแรงเหมือนไฟพะเนียง เป็นหัวใจสำคัญในการที่เลสเตอร์มีลุ้นไปแชมเปียนส์ลีกเวลานี้ 

 

จากรายชื่อทั้งหมดนี้ (และอาจจะมีเซอร์ไพรส์ได้อีก เพราะการโหวตเกิดจากนักฟุตบอลด้วยกัน) ใครอยู่ทีมไหนก็เอาใจช่วยกันให้หนักๆ รวมถึงในการจัดทีมยอดเยี่ยมประจำปีด้วย

 

แม้บรรยากาศจะไม่เหมาะนัก แต่อย่างน้อยก็จะได้จดจำว่าเป็นรางวัล PFA ในปีโควิด-19!

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

FYI
  • การประกาศรางวัล PFA เริ่มต้นขึ้นในฤดูกาล 1973-74 โดยคนแรกที่ได้รางวัลนี้ไปครองคือ นอร์แมน ฮันเตอร์ สุดยอดตำนานของทีม ‘ยูงทอง’ ลีดส์​ ยูไนเต็ด
  • ทีมที่ได้รางวัลนี้ไปครองมากที่สุดคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 11 สมัย รองลงมาคือลิเวอร์พูล 8 สมัย 
  • จนถึงปัจจุบัน มีแค่ มาร์ค ฮิวจ์ส, อลัน เชียเรอร์, เธียร์รี อองรี, คริสเตียโน โรนัลโด และแกเร็ธ เบล เท่านั้นที่เคยได้รางวัล 2 สมัย และมีแค่อองรีกับโรนัลโดที่ได้รางวัล 2 ปีติดต่อกัน
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X