นับจากสิ้นยุคของ ซีเนดีน ซีดาน ตำนานศิลปินลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ชาวฝรั่งเศส โลกฟุตบอลก็ไม่เคยได้พบกับกองกลางที่มีความสามารถอันเอกอุเท่านั้นอีก
ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสตา อาจเป็นเลิศในสายของอัจฉริยะลูกหนังที่ไม่เป็นสองรองใคร แต่ทั้งคู่ไม่สามารถที่จะพาบอลควบตะบึงไปข้างหน้าได้ดังใจนึก จึงใช้จินตนาการและมันสมองในการเล่นมากกว่า
เช่นเดียวกับ อันเดรีย ปีร์โล ที่สายตาและการเปิดบอลที่แม่นยำเหมือนจับวาง แต่ความสามารถทางกำลังกายของ ‘สถาปนิกลูกหนัง’ ชาวอิตาลี เป็นขีดจำกัดของเขา
พอล ป็อกบา มีครบทั้งร่างกายและเทคนิค แต่ความสม่ำเสมอและความมหัศจรรย์ในการเล่นของเขายังห่างไกลจากสิ่งที่ซีดานเคยทำได้
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนโลกฟุตบอลจะได้พบกับนักเตะที่ดูเหมือนจะมีขีดความสามารถที่ใกล้เคียงกับซีดานในวันที่ท็อปพีกที่สุดแล้ว นักเตะคนดังกล่าวคือ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพของทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แม้จะดูหน้าเด็ก แต่เดอ บรอยน์ ห่างไกลจากคำว่าเด็กมานานมาแล้ว ด้วยวัย 29 ปี สตาร์ทีมชาติเบลเยียมกำลังเข้าสู่ช่วงที่ท็อปพีกที่สุดในชีวิตการเล่น ซึ่งนั่นไม่น่าแปลกใจกับผลงานของเขาในฤดูกาล 2019/20 ที่ผ่านมา
แมนฯ ซิตี้ อาจจะไม่ได้แชมป์ แต่เดอ บรอยน์ ชนะเลิศในเรื่องของผลงานในสนามที่ไม่มีใครเหนือกว่าเขา หากวัดกันในแง่ของผลงานส่วนบุคคล
หลังสลัดอาการบาดเจ็บที่ตามรังควานมานาน เดอ บรอยน์ กลับมาลงเล่นได้อย่างต่อเนื่องในแดนกลางของทีม โดยลงสนามไปทั้งหมด 48 นัด หรือคิดเป็น 3,826 นาที
ในจำนวนนี้เขาทำไป 16 ประตู กับอีก 23 แอสซิสต์ หรือมีส่วนกับการได้ประตูของแมนฯ ซิตี้ มากถึง 39 ประตูด้วยกัน โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก ที่นอกจากจะทำไป 13 ประตูแล้ว ยังทำสถิติแอสซิสต์ในฤดูกาลเดียวมากถึง 20 ครั้ง เท่ากับที่ เซสก์ ฟาเบรกาส เคยทำไว้กับอาร์เซนอล
โดยสิ่งที่เราได้เห็นชัดจากเดอ บรอยน์ มากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาคือ ความเป็นผู้นำที่พุ่งทะยานถึงขีดสุด
มิดฟิลด์ชาวเบลเยียมคือคนที่เป็นหัวใจของทีมในยามที่แมนฯ ซิตี้ เกิดข้อสงสัยในตัวเอง ในขณะที่แทบทุกคนถอดใจไปแล้ว แต่เดอ บรอยน์ จะเป็นคนที่พยายามอย่างเต็มที่เสมอ และทำให้เราได้เห็นการระเบิดอารมณ์ในแบบของเขา ที่อาจไม่ใช่ภาพที่คุ้นชินนัก
เพราะตลอดมาเขาคือนักฟุตบอลที่นิ่งและเงียบมากที่สุดคนหนึ่ง จนยากที่จะรู้ว่าลึกๆ ในใจแล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่
ความเข้าใจนั้นไม่ผิด เพราะตัวเขาเองก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนแบบนั้นจริง
เขาคือชาว Introvert ที่เก็บตัวและมีกำแพงใสบางๆ คอยคั่นกลางระหว่างเขาและคนอื่น
“ถ้าคุณเจอกับผมเมื่อสัก 4 ปีก่อน ผมก็อาจจะคุยแค่ “สวัสดี คุณสบายดีไหม?” แล้วผมก็จะไปเลย” เดอ บรอยน์ เปิดใจในบทสัมภาษณ์ชิ้นหนึ่ง
แต่เขายืนยันว่า สิ่งเหล่านั้นคือเรื่องเก่าแล้ว เดอ บรอยน์ ในวันนี้จะไม่ทักใครด้วยประโยคเดียวแบบนั้นอีก “ผมได้เรียนรู้วิธีที่จะจัดการตัวเองให้โตขึ้นในการรับมือกับผู้คน จริงๆ ก็คือการโตตามวัย การเป็นคน Introvert นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
“เรามักจะคิดว่าคนคนนั้นอาจจะคิดแง่ร้ายกับเรา หรือพวกเขาจะต้องการอะไรสักอย่างจากเรา แต่ในบางครั้งการได้พูดคุยกับคนก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน และผมก็รู้สึกว่าผมเริ่มที่จะเปิดใจมากขึ้น”
สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปจากความจริง เพราะในบทความใน The Players’ Tribune เดอ บรอยน์ ได้บอกเล่าสิ่งที่เขาเคยคิดและรู้สึกกับ ราฮีม สเตอร์ลิง เพื่อนใหม่ที่ย้ายมาสู่ถิ่นเอติฮัด สเตเดียม ในเวลาไล่เลี่ยกัน
กับ ราฮีม สเตอร์ลิง คู่ซี้ไม่มีซั้ว
“ผมเป็นคนตรงมากๆ ดังนั้นผมจะเล่าความลับอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง ตอนที่ผมย้ายมาแมนฯ ซิตี้ ผมไม่รู้เลยว่า ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นคนแบบไหน ผมไม่เคยเจอเขามาก่อน และจากที่ผมได้อ่านเรื่องของเขาในสื่อมา ผมคิดว่าเขาน่าจะมีตัวตนที่แตกต่างไปอย่างมาก
“ผมคิดว่า… คือจริงๆ ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนไม่ดี แต่พวกหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ชอบบอกว่า เขาเย่อหยิ่ง ซึ่งมันทำให้ผมเดาว่า เขาคงจะเป็นคนแบบที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกกันว่า Dickhead” เดอ บรอยน์ บอกเล่าเรื่องราวของเขาผ่านบทความในเรื่อง Let Me Talk
แต่เมื่อได้พบและรู้จักกันจริงๆ สเตอร์ลิงคือเพื่อนที่เดอ บรอยน์ สนิทด้วยที่สุด และเขาก็ไม่ใช่คนหน้าเงินที่ทิ้งลิเวอร์พูลเพื่อมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบที่สื่อบอกแต่อย่างใด
เดอ บรอยน์ ยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนที่มีเพื่อนสนิทมากนัก ไม่ว่าจะเป็นในวงการหรือนอกวงการฟุตบอลเองก็ตาม ด้วยนิสัยของเขาที่เป็นคนปิดและเก็บตัว การจะเปิดใจทำความรู้จักใครสักคน หรืออนุญาตให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตนั้นอาจต้องใช้ระยะเวลานาน
สำหรับสเตอร์ลิง จากความประทับใจที่ตัวจริงไม่ได้เป็นอย่างภาพที่สื่อปั้นแต่ง การที่ลูกชายของทั้งคู่เกิดในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ซึ่งทำให้เด็กทั้งสองได้มีโอกาสเล่นด้วยกันบ่อย ก็ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแนบชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ
มากในระดับที่เดอ บรอยน์ กล้าที่จะเผยตัวตนในมุมน่ารักและขำขันให้เพื่อนได้เห็น
ครั้งหนึ่งราฮีมบอกกับเพื่อนรักว่า “เพื่อน เราเคยคิดว่านายน่าจะแตกต่างไปจากนี้มาก ก่อนจะเจอกันเราคิดว่านายคงจะเป็นพวกขี้อายและเก็บตัว แต่เอาจริงๆ นายเป็นคนตลกนะ”
คู่ซี้ชาวเบลเยียมได้ทีเย้ยเพื่อนว่า “จริงๆ แล้วเราเป็นคนตลกหน้าตาย”
“ตลกตาย…ล่ะ” ราฮีมกล่าวตอบ
อย่างไรก็ดี การเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวมาตั้งแต่เด็ก ไม่เล่น Playstation ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่พูดไม่คุยกับใคร ก็เคยทำให้เขาเจอปัญหาใหญ่ในชีวิต
และปัญหานั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เดอ บรอยน์ อายุแค่ 14 ปีเท่านั้น
มันเป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาได้โอกาสในการเข้าอคาเดมีกับสโมสรเกงค์ มันเป็นโอกาสดีในชีวิต แต่ปัญหาคือเกงค์อยู่อีกฟากของประเทศ และทำให้เขาต้องไปจากครอบครัว
ความจริงระยะห่างบนถนนอาจจะไม่มากนัก เพราะใช้เวลาในการเดินทางแค่ 2 ชั่วโมง แต่ระยะห่างระหว่างใจมันยาวไกลเหลือเกิน
ในปีแรกเดอ บรอยน์ ซึ่งยืนกรานว่าเขาต้องการจะคว้าโอกาสนี้ ได้เช่าห้องพักเล็กๆ อยู่คนเดียว ในความหมายถึงการอยู่คนเดียวจริงๆ กับห้องที่มีแค่เตียง โต๊ะ และอ่างล้างหน้า
เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างลำพังโดยไม่ได้เรียนรู้ทักษะในการที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม เพราะวันพักในแต่ละสัปดาห์ที่จะได้หยุดทุกวันอาทิตย์ เดอ บรอยน์ จะเดินทางกลับมาหาครอบครัวที่บ้านเสมอ
ในปีที่ 2 ของอคาเดมี สโมสรส่งเขาและเพื่อนๆ ไปอยู่กับครอบครัวที่จะช่วยอุปการะให้ และนั่นกลายเป็นปัญหาเมื่อจบปีนั้น แม้เขาจะเชื่อว่าเขาเริ่มใช้ชีวิตเป็นปกติได้เหมือนคนอื่นๆ แล้ว แต่ครอบครัวที่รับอุปการะไม่คิดเช่นนั้น
หลังจากที่เดินทางกลับมาถึงบ้านในช่วงปิดเทอม เดอ บรอยน์ พบว่า แม่ของเขาร้องไห้ราวกับมีใครสักคนจากไป
ไม่ได้มีใครจากไป แต่ความเสียใจที่ไม่อาจปิดกั้นได้เกิดจากการที่แม่ได้รับแจ้งจากครอบครัวนั้นว่า พวกเขาไม่ต้องการให้เดอ บรอยน์ กลับไปอีก เพียงเพราะเขาเป็นคนเงียบจนเกินไป และทำให้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นเรื่องยาก
เรื่องนี้ทำให้เด็กน้อยอย่างเดอ บรอยน์ ถึงกับช็อก เพราะตลอดมาเขาไม่เคยได้รับการแจ้งหรือตำหนิอะไรเลย ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ แม้กระทั่งในวันบอกลาก็ยังพูดกัน เดี๋ยวเปิดเทอมแล้วเจอกัน
ปัญหานั้นใหญ่ขึ้น เมื่อสโมสรเองก็ไม่ต้องการจ่ายเงินเพื่อหาครอบครัวอุปการะใหม่ให้เขาอีก สุดท้ายเดอ บรอยน์ จึงต้องกลับไปเช่าบ้านอยู่เหมือนเดิม เขาถูกมองว่าเป็นเด็กมีปัญหา ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีปัญหา
ความเจ็บปวดจากการถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา เพียงเพราะเป็นคน Introvert ถูกใช้เป็นแรงผลักดัน นำเขาพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วในเส้นทางลูกหนัง
เพียงแต่มันทำให้เขากลับมาทบทวนเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับคำว่า “เพราะเขาเป็นของเขาแบบนี้” ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นปัญหา
เดอ บรอยน์ ซึ่งปกติจะใช้การเล่นฟุตบอลในสนามเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ออกมา ระบายความเจ็บปวดและคั่งแค้นด้วยการเตะบอลอัดรั้วบ้านอยู่นานหลายชั่วโมง ก่อนที่จะตะโกนออกมาเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเอง
“ทุกอย่างจะต้องกลับมาดีในเวลาแค่ 2 เดือน ผมต้องเข้าทีมชุดใหญ่ให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมจะไม่มีวันกลับมาบ้านอย่างคนล้มเหลวอีกไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม”
ความเจ็บปวดของคน Introvert ถูกเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวทะยานอย่างไม่หยุด และในเกมนัดหนึ่ง ซึ่งเขาเริ่มต้นด้วยการเป็นตัวสำรอง แต่ได้โอกาสในการเปลี่ยนตัวลงมาเล่น ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
เดอ บรอยน์ ระเบิดทุกอย่างออกมาในสนาม เขาทำประตูแรกได้ แต่ในหัวของเขายังเต็มไปด้วยคำว่า “พวกเขาไม่ต้องการเราอีกแล้ว”
สิ่งที่อยู่ในหัวรบกวนจิตใจของเขา และเขาต้องการกำจัดมันออกมาให้หมดด้วยสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือ การระเบิดพลังในสนาม
วันนั้นเดอ บรอยน์ ทำไปคนเดียวถึง 5 ประตู และทุกคนในสโมสรมองเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และสุดท้ายแล้วเขาได้ขึ้นทีมชุดใหญ่ในระยะเวลาแค่ 2 เดือนเท่านั้น
แม้กระทั่งครอบครัวที่เคยปฏิเสธจะรับดูแลเขายังกลับมาหา และบอกว่าทุกอย่างเป็นแค่ความเข้าใจผิด และทำทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องง่าย
แต่เดอ บรอยน์ เป็นคนเจ็บแล้วจำ “พวกคุณโยนผมทิ้งถึงขยะ พอผมทำได้ดีก็อยากให้ผมกลับไปงั้นเหรอ?”
เรื่องราวนี้กลายเป็นการจุดระเบิดในชีวิตของเขา และทำให้เขาก้าวมาถึงจุดนี้ได้
และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยวัยและประสบการณ์ชีวิตคือการที่เขาเปิดหัวใจมากขึ้น
มิตรภาพกับเพื่อน โดยเฉพาะกับ ราฮีม สเตอร์ลิง ก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือ คู่ชีวิตอย่าง มิเชล ซึ่งเป็นคนเปิดกว้างและมีอัธยาศัยดีกับทุกคน
แน่นอนว่าเธอคือคนที่ไขกุญแจเปิดหัวใจของนายเย็นชาคนนี้
จากคนที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง เขากลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อคนรัก
และในวันนี้ทุกสิ่งที่เขาทำไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อลูกๆ อันเป็นที่รัก
ประตูหัวใจที่ถูกเปิดออก ทำให้คนเก็บตัวแบบเขากลายเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่น รวมถึงในรายละเอียดของเพื่อนร่วมทีม
เดอ บรอยน์ รู้ทุกอย่างว่าเพื่อนชอบบอลแบบไหน เปิดสั้นหรือเปิดยาว เปิดเรียดหรือเปิดโด่ง เปิดแรงหรือเปิดเบา ทำให้เมื่อบอลออกจากเขา มักจะไปถึงเพื่อนแบบพร้อมจะเล่นเสมอ
รายละเอียดของการเล่นในสนามก็สำคัญ เดอ บรอยน์ จะพยายามอ่านเกมล่วงหน้าเอาไว้เสมอ แม้ว่าเกมพรีเมียร์ลีกจะเร็วแค่ไหนก็ตาม เพราะถ้าเขาอ่านสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มันจะช่วยในการเล่นได้อย่างมาก
และบางครั้งหากจวนตัวจริงๆ เขาก็ไม่ได้ใช้อะไรมากกว่าการใช้สัญชาตญาณนำทาง ซึ่งนำไปสู่การเล่นที่น่ามหัศจรรย์ในหลายครั้ง
ความมหัศจรรย์นั้นมากและชัดเจนพอที่จะทำให้เขาได้รับการโหวตจากเพื่อนร่วมทีมให้ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ (PFA) ประจำปี 2020
รางวัลนี้เป็นเกียรติอย่างสูง เพราะเป็นการยอมรับจากเพื่อนนักฟุตบอลอาชีพด้วยกันเอง ไม่ใช่ใครอื่น
แต่หากถามถึงสิ่งที่เดอ บรอยน์ ปรารถนามากที่สุดในเวลานี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพาแมนฯ ซิตี้ กลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้อีกครั้ง รวมถึงการพิชิตแชมเปียนส์ลีกที่ทีมเฝ้ารอมาหลายปี
ฤดูกาล 2020/21 น่าจะเป็นปีที่เรานอกจากจะได้เห็นฝีเท้าที่แท้จริงของเขาแล้ว เราอาจจะได้เห็นตัวตนของเขาที่ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะในหรือนอกสนามฟุตบอลก็ตาม
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: