แอฟริกา ทุ่งหญ้าสะวันนา และสิงโตเจ้าป่า เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใครๆ หลายคนก็คงนึกถึงการ์ตูนคลาสสิกของดิสนีย์เรื่อง The Lion King ขึ้นมาทันใด ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตของสัตว์นานาชนิดในเขตสงวนธรรมชาติ ‘มาไซ มารา’ (Maasai Mara National Reserve) ซึ่งทำให้หลายๆ คนที่ประทับใจในการ์ตูนเรื่องนี้ มีความฝันที่อยากจะไปเยือนสักครั้งในชีวิต
ผิดกับตัวผม เพราะผมเป็นเพียงคนเดียวในทริปที่ไม่เคยดูหนังการ์ตูนเจ้าป่า ผมรู้จัก เคยได้ฟังเพลง และเพียงเคยเห็นภาพการ์ตูนเรื่องนี้ผ่านตาบ้าง แต่ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรโดยละเอียดเลย ผมจึงไม่มีแรงจูงใจจากวัยเด็ก หรือมีภาพสวยๆ ในจินตนาการจากในการ์ตูนเป็นแรงดึงดูดให้อยากมาเยือน มาไซ มารา เหมือนคนอื่นๆ
ผมรู้จักชื่อนี้ผ่านสารคดีสัตว์โลกที่มาถ่ายทำที่นี่ ทุกสิ่งที่ผมได้เห็นในสารคดีคือภาพที่เกิดขึ้นจริงตามวิถีทางของธรรมชาติ ภาพของผู้ล่าที่หิวโหยและเหยื่ออันโอชะ ไปจนถึงการเรียนรู้ที่จะอยู่รอดของ สัตว์แต่ละชนิดบนสัญชาตญาณที่ติดตัวมา ผมรู้สึกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นและดำเนินไปตามวัฏจักรของมัน โดยที่ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้ แตกต่างกับหลายๆ ที่ที่มนุษย์นำพาวัตถุและความเจริญไปให้ ความบริสุทธิ์ของสถานที่นี้จึงเป็นเสน่ห์ที่ชักจูงให้ผมอยากมาสัมผัสบรรยากาศจริงสักครั้ง
เลือกฤดูกาล
การเริ่มต้นวางแผนมาเที่ยวที่นี่เริ่มจากเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อน นั่นคือช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม ซึ่งถือว่าเป็นไฮซีซันของที่นี่ เพราะเป็นฤดูที่ฝูงตัววิลเดอบีสต์ (Wildebeest) อพยพจากอุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ (Serengeti National Park) ของประเทศแทนซาเนียมายังมาไซ มารา และถ้าเราโชคดี จะได้เห็นฝูงวิลเดอบีสต์วิ่งข้ามแม่น้ำมารา นี่คือเป้าหมายสูงสุดของผมในการมาเยือนมาไซ มารา ครั้งแรก
ออกเดินทางกันเถอะ!
หลังจากได้ช่วงวันเวลาที่ลงตัวแล้ว ก็เริ่มหาตั๋วเครื่องบินและที่พัก การเดินทางมามาไซ มารา ต้องลงเครื่องที่สนามบินนานาชาติโจโม เคนยัตตา (Jomo Kenyatta International Airport) ที่กรุงไนโรบี แล้วค่อยต่อรถหรือเครื่องบินเล็กภายในประเทศไปยังมาไซ มารา ซึ่งจากประเทศไทยมีสายการบินเคนยา แอร์เวย์ เพียงเจ้าเดียวที่มีบริการบินตรง นอกนั้นต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินประเทศใกล้เคียง เช่น เอธิโอเปีย ดูไบ โอมาน หรือกาตาร์
ถัดมาคือการเลือกที่พัก หลังทำการบ้านหนักมากกับการอ่านข้อมูลที่พักหลายๆ ที่ หลากหลายเกรด รวมถึงศึกษาทำเลที่ตั้งและระยะเวลาในการเดินทาง ผมก็เลือกที่พักที่อยู่ในเขตมาไซ มารา ด้วยความที่ถนนหนทางยังเป็นลูกรัง การเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งจึงใช้เวลามาก และเลือกที่ที่คุณภาพอาหารได้รับการยอมรับ เพราะตลอดเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ในมาไซ มารา อาหารทุกมื้อจะจัดหาโดยที่พักที่เราเลือกเท่านั้น ต่างจากการท่องเที่ยวในหลายๆ ที่ที่มีร้านอาหารให้เลือกได้เองตลอดการเดินทาง จึงควรคำนึงถึงสองสิ่งนี้เป็นหลัก แล้วผมก็เช็กอินเข้าที่พักอย่าง Mara Serena Safari Lodge
หลังจากนั้นจึงนำแผนการเดินทางที่คิดไว้แล้ว ติดต่อหาตัวแทนที่ไนโรบีเพื่อจัดหารถพร้อมคนขับ รวมถึงแจ้งกิจกรรมต่างๆ ที่อยากทำในระหว่างที่อยู่ที่นี่ เพื่อที่ตัวแทนจะได้ติดต่อ จัดหา รวมถึงให้คำแนะนำกับเราได้ รถที่ใช้เดินทางก็มีให้เลือกอยู่ 3-4 ประเภท ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่ความสมบุกสมบันและงบประมาณของนักเดินทาง และมาถึงปัจจัยสุดท้ายที่เรามองว่าสำคัญมาก และเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความสนุกสนานและตื่นเต้นของทริปเลยก็ว่าได้ นั่นคือ คนขับรถ เพราะเขาจะอยู่กับเราตั้งแต่มารับที่สนามบินจนมาถึงวันส่งกลับ รวมถึงยังทำหน้าที่ไกด์ตลอดการเดินทางด้วย ทีแรกก็ไม่ได้ให้ความสำคัญในจุดนี้ จึงไม่ได้แจ้งอะไรเป็นพิเศษไปกับทางตัวแทน และเมื่อทุกอย่างลงตัว เราก็พร้อมออกเดินทางกัน
ทุ่งสีทองแห่งมาไซ มารา
วันแรกที่ไปถึงเราจะใช้เวลาส่วนมากไปกับการเดินทางจากไนโรบีไปมาไซ มารา ช่วงแรกถนนจะเป็นทางหลวงลาดยาง นั่งสบาย มีรถติดยาวเป็นบางช่วงบ้าง แต่ประมาณครึ่งหลังจะเป็นถนนลูกรังขรุขระฝุ่นคลุ้งตลอดทาง ต้องมีจังหวะเปิด ปิดกระจกข้างให้สัมพันธ์กับจังหวะรถสวน และเมื่อเข้าใกล้มาไซ มารา สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนไป ทุ่งหญ้าสีทองเริ่มปรากฏให้เห็นสลับกับต้นไม้น้อยใหญ่สองข้างทาง ภูเขาที่รถขับลัดเลาะมาเริ่มเปลี่ยนเป็นเนินเขาสูงๆ ต่ำๆ สลับกัน จากที่เหนื่อยล้ากับการเดินทางอันไกลแสนไกล ทุกคนบนรถก็เริ่มตื่นเต้นขึ้น สัตว์ป่าเริ่มมีให้เห็นทีละตัวสองตัว จนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งม้าลาย ยีราฟ วิลเดอบีสต์ และนกนานาชนิดเริ่มมีอยู่ตลอดทาง
เรามาถึงจุดข้ามแม่น้ำมารา อันเป็นสัญญาณว่าเราได้มาถึงมาไซ มารา อย่างเป็นทางการแล้ว และจุดที่ข้ามแม่น้ำเป็นจุดที่ตื้นเต็มไปด้วยโขดหิน แต่แล้วเราก็พบซากวิลเดอบีสต์มากมายนอนตายอยู่ทั่วบริเวณแม่น้ำนั้น เห็นเหล่านกแร้งหลายสิบตัวบินวนเวียนป้วนเปี้ยนไปมาสลับกันลงมากินบุฟเฟต์ซากสัตว์เหล่านั้น ซึ่งซากวิลเดอบีสต์มากองรวมกันอยู่แถวนี้เพราะโดนจระเข้จู่โจมหรือเหยียบกันเองขณะข้ามแม่น้ำช่วงใดช่วงหนึ่ง และไหลตามกระแสน้ำมาติดโขดหินที่ขวางทางน้ำกันอยู่บริเวณนี้นี่เอง แม้จะแลดูชวนหดหู่ปนสงสาร แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นไปพร้อมกัน หรืออาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นซากสัตว์เยอะขนาดนี้ในธรรมชาติ จริงๆ การได้เห็นทั้งแร้งและจระเข้กินซากสัตว์ ความรู้สึกมันช่างต่างกับการดูการให้อาหารสัตว์ในสวนสัตว์โดยสิ้นเชิง
เขาเร่งความเร็วรถไปยังหน้าผาที่ใกล้จุดข้ามน้ำที่สุด และแล้วเป้าหมายของการมา มาไซ มารา ของผมก็บรรลุ ภาพฝูงวิลเดอร์บีสต์วิ่งข้ามน้ำตามๆ กันมาหลายร้อยตัวทำให้หัวใจผมเต้นแรง ภาพการอพยพอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่เคยเห็นผ่านสารคดีหรือหนังสือต่างๆ ได้ปรากฏตรงหน้าผมในมุมที่สวยที่สุด
จิบแชมเปญ เปิบอาหารเช้า ล่องบนบอลลูนส่องสัตว์
เมื่อเรามาถึงมาไซ มารา แล้ว กิจกรรมหลักของการมาที่นี่คือการออกตระเวนดูสัตว์นานาชนิด ซึ่งเรียกว่า Game Drive โดยตารางปกติที่นิยมออกตระเวนคือ เช้าตรู่ และตอนเย็นซึ่งเป็นเวลาที่อากาศดี แดดไม่ร้อนจนเกินไป แต่ถ้าหาก ต้องการออกมากขึ้นก็สามารถตกลงกับทางคนขับรถได้เอง กิจกรรมถัดมาที่ได้รับความนิยมเช่นกันคือ การขึ้นบอลลูน ซึ่งกิจกรรมนี้ต้องทำตั้งแต่เช้ามืด ตื่นประมาณตีสี่ และนั่งรถไปยังแคมป์ที่มีพื้นที่สำหรับการปล่อยบอลลูนขึ้น บอลลูนจะ ขึ้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อให้เราได้ดูพระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นจากขอบฟ้าแบบมุมสูง และค่อยๆ พาเราลอยดูทุ่งหญ้าและสัตว์น้อยใหญ่ประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นจะแลนด์ลงกลางทุ่งหญ้าไม่ไกลจากจุดที่ร่อนลง ทางทีมงานก็เตรียมอาหารเช้า กาแฟ น้ำผลไม้ และเปิดแชมเปญไว้คอยต้อนรับ
ผมมองว่าการรับประทานมื้อเช้ากลางทุ่งหญ้าสะวันนานับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าประทับใจเสียจริงสำหรับการมาเยือนมาไซ มารา เพราะนี่อาจเป็นครั้งเดียวที่คุณจะได้ลงจากรถไปสัมผัสบรรยากาศทุ่งหญ้าอันสวยงามของอุทยานที่มีความอันตรายสูง แถมยังได้ละเลียดอาหาร ชมวิวไปพลางด้วย
นอกจากนั้นยังมีการจัดมื้อเที่ยงริมแม่น้ำ รับประทานอาหารเที่ยงพร้อมกับมีฝูงฮิปโปลอยคอในน้ำให้ชมกันอยู่ห่างๆ รวมถึงกิจกรรมชมพระอาทิตย์ตกบนเนินเขา การออก Night Game Drive ไปจนเข้าเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวมาไซ และอื่นๆ อีกมากมายตามที่เราสนใจ
แต่สำหรับกิจกรรมหลักที่พลาดไม่ได้อย่าง Game Drive อุปกรณ์สำคัญที่ควรพกติดตัวมาด้วยคือกล้องส่องทางไกล ที่สามารถช่วยให้เราเห็นเหล่าสรรพสัตว์ได้ใกล้ชิดขึ้น เพราะในบางพื้นที่รถก็ไม่สามารถเข้าใกล้สัตว์ได้มาก เพื่อความปลอดภัยและเป็นการไม่รบกวนสัตว์นั่นเอง
วินาทีลืมหายใจ
และเมื่อพูดถึงสัตว์ป่าแห่งทวีปแอฟริกา จะมองข้าม Big Five ไปไม่ได้เลย นั่นคือสัตว์ 5 ชนิดที่ถือได้ว่าเป็นไฮไลต์ที่ทุกคนคาดหวังจะได้พบเห็น ได้แก่ ช้างแอฟริกัน สิงโต ควายป่า แรด และเสือดาว ซึ่งเสือดาวนั้นจะพบได้ยากสุด และกิจกรรม Game Drive นี่เองที่ทำให้ผมเห็นความสำคัญของคนขับรถ หรือไกด์ของเรามากขึ้น นอกเหนือจากการขับรถดีไม่ดีแล้ว ความรู้และประสบการณ์ของไกด์ก็ช่วยเพิ่มอรรถรสในการตระเวนชมสัตว์ได้อีกโข และผมโชคดีที่ได้ไกด์ที่เก่งมาก รู้พฤติกรรมสัตว์ทุกชนิดอย่างละเอียด สามารถตอบข้อซักถามและเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับสัตว์ที่เรากำลังชื่นชมอยู่ได้อย่างสนุกสนาน
และช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในทริปนี้คือ การเฝ้ารอฝูงยักษ์ใหญ่วิลเดอร์บีสต์ข้ามแม่น้ำมาราอย่างใจจดใจจ่อ ไกด์พาเราไปฟากหนึ่งของแม่น้ำ ซึ่งอยู่คนละฟากกับที่ฝูงวิลเดอร์บีสต์อยู่ ในขณะที่รถคันอื่นๆ กลับไปอยู่ฟากเดียวกัน ซึ่งไกด์ก็ให้เหตุผลว่า ถ้าเราไปเข้าใกล้มัน มันจะรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่ยอมลงมาที่แม่น้ำ ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงๆ
ผมจึงใช้วิธีเฝ้าดูผ่านกล้องส่องทางไกลและคอยบอกไกด์ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง หลายๆ ช่วงที่เฝ้ารอ วิลเดอร์บีสต์จะทั้งวิ่งขึ้นวิ่งลงบริเวณแม่น้ำ และย้ายจุดลงออกไปเรื่อยๆ จนรถคันอื่นๆ ที่อยู่ฝั่งเดียวกับฝูงวิลเดอร์บีสต์เริ่มทิ้งระยะห่าง วิลเดอร์บีสต์จ่าฝูงเริ่มลงไปที่แม่น้ำก่อน ทันทีที่ 2-3 ตัวถัดมาเริ่มเดินตามไป ผมรีบบอกไกด์ และเขาก็เร่งความเร็วรถไปยังหน้าผาที่ใกล้จุดข้ามน้ำที่สุด และแล้วเป้าหมายของการมามาไซ มารา ของผมก็บรรลุทันที
ภาพฝูงวิลเดอร์บีสต์วิ่งข้ามน้ำตามๆ กันมาหลายร้อยตัวทำให้หัวใจผมเต้นแรง ภาพการอพยพอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่เคยเห็นผ่านสารคดีหรือหนังสือต่างๆ ได้ปรากฏตรงหน้าผมในมุมที่สวยที่สุดแล้ว ผมไม่รู้จะขอบคุณไกด์ยังไงที่ตัดสินใจไม่ได้ตามรถคันอื่นๆ ไป เพราะถ้าเขาเลือกไปอีกฝั่ง ผมก็คงไม่ได้เห็นภาพน่าตื่นตาที่ผมจะจดจำไปตลอดเช่นนี้
ผมได้เจอเจ้ายีราฟที่ชอบหันหน้ามามองกล้องให้เราถ่ายรูปแบบพอร์เทรต ช้างแอฟริกันที่ดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม สิงโตที่เดินมาหาจนตัวแทบจะติดรถและจบด้วยการนอนขวางถนน ไปจนถึงลูกสิงโตพี่น้องที่หยอกล้อกันอยู่ข้างแม่ ช่างเป็นภาพน่าประทับใจ
ความสนุกตื่นเต้นของ Game Drive นั้นไม่ได้หยุดแค่การมาเฝ้ารอฝูงวิลเดอร์บีสต์เท่านั้น สัตว์อื่นๆ ก็สร้างความน่าประทับใจได้ไม่แพ้กัน ผมได้เจอเจ้ายีราฟที่ชอบหันหน้ามามองกล้องให้เราถ่ายรูปแบบพอร์เทรต และช้างแอฟริกันที่ดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม สิงโตที่เดินมาหาจนตัวแทบจะติดรถและจบด้วยการนอนขวางถนน ไปจนถึงลูกสิงโตพี่น้องที่หยอกล้อกันอยู่ข้างๆ แม่ก็เป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ความเป็นธรรมชาติของสัตว์ป่าที่นี่ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อ ไม่ว่าจะเจอช้างเป็นตัวที่สิบ หรือม้าลายเป็นตัวที่ร้อย เพราะทุกตัวก็มีพฤติกรรมที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป ใครที่ชื่นชอบสัตว์ป่าผมกล่าวได้เลยว่าที่นี่คือสวรรค์ที่คุณต้องลองมาค้นหาด้วยตัวเอง
สำหรับผม มาไซ มารา ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในฐานะนักเดินทาง เพราะช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ผมได้ทั้งความสนุก ตื่นเต้นที่ได้ผจญภัยไปกับสัตว์นานาชนิด ความรู้สึกผ่อนคลายกับบรรยากาศและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ ภูมิประเทศ และวัฒนธรรมของประเทศเคนยา ที่มีทั้งความลำบากและสะดวกสบายปะปนกันไป บรรยากาศการเดินทางที่ให้ผมได้หลากหลายรสชาติขนาดนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นทุกที่ที่ไป ดังนั้นถ้าคุณหลงใหลในการเดินทางท่องโลกเหมือนผม มาไซ มารา จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน
Photos: ภาวิต นิลยนิมิต