ผลการเลือกตั้งทั่วไปของสหราชอาณาจักร เป็นพรรคเลเบอร์ (Labour Party) ที่คว้าชัยชนะถล่มทลาย โดยกวาด สส. ไปได้ 412 ที่นั่ง จากทั้งหมด 650 ที่นั่ง แซงหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟ (Conservative Party) ของนายกรัฐมนตรีริชิ ซูนัค ที่ได้ สส. 121 ที่นั่ง และถือเป็นการพลิกขั้วการเมืองของสหราชอาณาจักร ครั้งแรกในรอบ 14 ปี
นายกรัฐมนตรีซูนัค ได้แถลงยอมรับความพ่ายแพ้ และยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งแก่สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ ที่ 3
ขณะที่ เซอร์ เคียร์ รอดนีย์ สตาร์เมอร์ (Sir Keir Rodney Starmer) ผู้นำพรรคเลเบอร์ วัย 61 ปี รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ ที่ 3 ก่อนจะมีการแถลงที่หน้าทำเนียบนายกรัฐมนตรี บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง โดยย้ำภารกิจเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงประเทศที่จะต้องเริ่มต้นทันที
ทั้งนี้ สตาร์เมอร์ เกิดในกรุงลอนดอน เมื่อเดือนกันยายน 1962 โดยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยลีดส์ และปริญญาโท สาขากฎหมายแพ่ง จากวิทยาลัย St Edmund Hall แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด
ในอดีต เขาเคยเป็นทั้งที่ปรึกษาด้านสิทธิมนุษยชน ที่ปรึกษาสมเด็จพระราชินี และหัวหน้าอัยการ ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2015 และมีบทบาทในซีกฝ่ายค้าน ในฐานะรัฐมนตรีเงาด้านการโยกย้ายถิ่นฐาน และรัฐมนตรีเงา Brexit ซึ่งต่อต้านการถอนอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป
สตราเมอร์ได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรคเลเบอร์ในปี 2020 ภายหลังการลาออกของ เจเรมี คอร์บิน ที่พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2019 โดยเขาปรับเปลี่ยนพรรคเลเบอร์ในหลายด้าน ทั้งในแง่วัฒนธรรมองค์กร และจุดยืนของพรรค จากเดิมที่เป็นพรรคฝ่ายซ้ายมาเป็นสายกลางมากขึ้น
นอกจากนี้เขายังพยายามขจัดแนวคิดต่อต้านยิวภายในพรรคที่เกิดขึ้นในยุคคอร์บิน และทำให้พรรคเลเบอร์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบายเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ประเทศ โดยยึดถือคติพจน์ที่ว่า “ประเทศมาก่อนพรรค” และมุ่งเน้นภารกิจสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ เศรษฐกิจ สุขภาพ พลังงานสะอาด อาชญากรรม และการศึกษา
ขณะที่ความเป็นผู้นำทางการเมืองของสตราเมอร์ เด่นชัดขึ้น ท่ามกลางช่วงที่ยากลำบากสำหรับสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ก้าวผ่านวิกฤตโควิด มาจนถึงการออกจากสหภาพยุโรป และเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่และวิกฤตค่าครองชีพ จากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตลอดจนเผชิญความวุ่นวายทางการเมืองของสหราชอาณาจักร ช่วงปี 2022 ที่ทำให้พรรคคอนเซอร์เวทีฟต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีถึง 2 คนภายในไม่กี่สัปดาห์
ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต
อ้างอิง: