นับเป็นเวลากว่าหลายปีที่ Bitcoin ETF ถูกพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐอเมริกา จนในที่สุดนักลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีก็ได้รับข่าวดี และกลายเป็นกระแสที่จะดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ให้เข้ามาในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งนี้ แต่ทำไมการพิจารณาจึงกินเวลานาน และอนาคตของคริปโตจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้?
การผ่านพิจารณาการอนุญาตให้ออก ETF ของ Bitcoin นับเป็นข่าวดีที่โลกคริปโตเฝ้ารออย่างยาวนาน เนื่องจาก ETF เป็นกองทุนที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยตรงกับ Bitcoin ได้ และเป็นวิธีการลงทุนที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทั้งในตราสารทุน ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน และอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ Bitcoin Spot ETF ได้รับการเปิดตัวจากบริษัทลงทุนชั้นนำอย่าง Fidelity และ BlackRock คาดว่าจะดึงดูดผู้ที่เคยลังเลต่อคริปโตได้สำเร็จ
เนื่องจาก ETF ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมมูลค่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ สามารถลงทุนหรืออ้างอิงผลตอบแทนของดัชนีได้ ประกอบกับการซื้อ ETF ก็เป็นเรื่องง่าย เพราะสามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวันในตลาดหลักทรัพย์ และจะได้รับอนุมัติให้ถือ Bitcoin จริง แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ซึ่งลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์สของ Bitcoin ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต.สหรัฐฯ ปัดตก Bitcoin Spot ETF มาตลอดหลายปีนี้
ก่อนหน้านี้เคยมี ETF ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin อย่างเช่น ProShares Bitcoin Strategy ETF ซึ่งเป็น ETF ฟิวเจอร์ส Bitcoin ตัวแรกที่มีจำหน่ายในสหรัฐฯ เปิดตัวเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2021 หรือ Purpose Bitcoin ETF เปิดตัวครั้งแรกที่โทรอนโตเมื่อต้นปี 2021 ลงทุนโดยตรงใน Bitcoin ทั้งรูปแบบกายภาพและดิจิทัล แต่ที่จุดประกายความหวังที่แท้จริงคือ Grayscale Bitcoin Trust ซึ่งเป็นทรัสต์การลงทุนใน Bitcoin โดยมีสินทรัพย์ในโลกการลงทุนเดิมค้ำประกัน แรงกระตุ้นสำหรับ Bitcoin Spot ETF ได้รับความนิยมขึ้นเมื่อ Grayscale ชนะคำตัดสินของศาลในวันที่ 29 สิงหาคม ในการผลักดันให้ทรัสต์ Bitcoin ของตนกลายเป็น ETF
สาเหตุที่ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลต่อต้าน Bitcoin Spot ETF มาอย่างยาวนานมาจากความเสี่ยงในด้านสภาพคล่องและการปั่นราคา และยังกังวลว่าความผันผวนของ Bitcoin อาจรุนแรงสำหรับนักลงทุนทั่วไปจนเกินไป โดยราคาของ Bitcoin เพิ่มขึ้น 60% ในปี 2021 ลดลง 64% ในปี 2022 และเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 นอกจากนี้ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ยังตั้งคำถามว่ากองทุนจะมีข้อมูลเพียงพอในการประเมินมูลค่าโทเคนอย่าง Bitcoin ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ รวมถึงสามารถตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของเหรียญเบื้องหลังได้หรือไม่ ในปี 2021
แกรี เจนส์เลอร์ ประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ ให้การเป็นพยานต่อคณะกรรมการการธนาคารของวุฒิสภาว่า การขาดการกำกับดูแลและการเฝ้าระวังด้านกฎระเบียบในตลาดคริปโตทำให้เกิดความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการฉ้อโกงและการปั่นราคา และล่าสุดเจนส์เลอร์ได้โพสต์บน X เมื่อวันที่ 9 มกราคม ว่าคริปโตมีความเสี่ยงที่ร้ายแรง
BlackRock และบริษัทด้านการลงทุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ทำข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลการเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการลดความเสี่ยงของการปั่นป่วนตลาดและการฉ้อโกงได้ ขณะที่ Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตอย่างเปิดเผยแห่งเดียวในสหรัฐฯ ได้กลายเป็นพันธมิตรในการเฝ้าระวังตลาดสำหรับผู้ออก ETF
ทิศทางอนาคตสำหรับโลกคริปโตอาจปรากฏให้เห็นได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิด นักลงทุนกำลังพิจารณาว่าสกุลเงินดิจิทัลใดที่จะได้รับอนุมัติ Spot ETF ต่อจาก Bitcoin ซึ่งตัวเต็งได้แก่ Ethereum และ XRP ที่กำลังได้รับความสนใจมากที่สุด
ในรอบ 24 ชั่วโมงนี้ ราคา Ethereum (ETH) ปรับตัวขึ้น 9% หลังข่าวการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ได้รับการยืนยัน ขณะที่ราคา Bitcoin ยังทรงตัวเท่านั้น โดยอาจเป็นสัญญาณว่านักลงทุนกำลังเดิมพัน Ethereum ให้เป็นสกุลเงินรายถัดไปที่จะได้รับการอนุมัติ Spot ETF
ในทางตรงกันข้าม Bitcoin ที่มีกระแสตอบรับเชิงบวกมาเป็นเวลาหลายเดือน หลังการอนุมัติ Spot ETF ลุล่วงแล้ว นั่นนำไปสู่การคาดเดาว่าภาวะขาขึ้นของ Bitcoin อาจแผ่วลงแล้วในตอนนี้
ริชาร์ด กาลวิน ผู้ร่วมก่อตั้ง DACM ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์คริปโต กล่าวว่า ด้วยขนาด สภาพคล่อง และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า CME ที่มีอยู่ Ethereum มีคุณสมบัติเหมือน Bitcoin ที่ประสบความสำเร็จ ทำให้การถือครอง Ethereum เป็นสินทรัพย์จริงในสหรัฐฯ จึงเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้
อ้างอิง: