ฤดูร้อนของปี 2009 เป็นหนึ่งในฤดูร้อนที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรอัล มาดริด
ฟลอเรนติโน เปเรซ ผู้ซึ่งกลับมาเพื่อกอบกู้ทีมราชันชุดขาวอีกครั้งพร้อมกับโปรเจกต์ ‘นักรบดวงดาวยุคใหม่’ (Galacticos) สร้างความตื่นเต้นให้กับโลกลูกหนังด้วยการคว้าตัวเจ้าของรางวัลลูกฟุตบอลทองคำถึง 2 คนในชั่วระยะเวลาห่างกันเพียงแค่ไม่กี่วัน
ในวันที่ 8 มิถุนายน เรอัล มาดริดได้ตัว ริคาร์โด กาก้า เจ้าของบัลลงดอร์ในปี 2007 มาจากเอซี มิลาน ด้วยค่าตัวสถิติโลก 56 ล้านปอนด์ ก่อนที่ในอีกไม่กี่วันต่อมาสถิติดังกล่าวจะถูกทำลายในอีก 3 วันถัดมาเมื่อ คริสเตียโน โรนัลโด ผู้ที่ได้บัลลงดอร์ในปี 2008 ย้ายมาสู่ซานติอาโก เบร์นาเบว ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์
การเปิดตัวของกาก้าในวันที่ 30 มิถุนายน จึงไม่ได้เป็นงานที่ใหญ่ที่สุด เพราะคนที่เป็นดาวเด่นจริงๆ และเป็นคนที่เปเรซรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งคือโรนัลโด ซึ่งมีแฟนบอลเข้ามาร่วมในพิธีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 กรกฎาคมในเบร์นาเบวมากถึง 80,000 คน ทำลายสถิติการเปิดตัวของ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา ที่ย้ายจากบาร์เซโลนาไปนาโปลี ที่มีแฟนบอลร่วมตื่นเต้นมากถึง 75,000 คน
อย่างไรก็ดี กาก้าและโรนัลโดไม่ได้เป็นแค่ 2 นักเตะที่ย้ายมาสู่เบร์นาเบวในฤดูร้อนปีนั้น
ยังมี คาริม เบนเซมา อีกหนึ่งคนที่ได้สวมชุดขาวในเวลานั้น
คาริม เบนเซมา เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ย้ายมาเรอัล มาดริด ในเวลาเดียวกับ คริสเตียโน โรนัลโด และ กาก้า
ซิด โลว์ คอลัมนิสต์ฟุตบอลสเปนชื่อดังบอกว่า เมื่อครั้งที่ ฟลอเรนติโน เปเรซ ไป ‘ขายฝัน’ ให้กับเบนเซมาว่า สักวันเขาจะต้องกลายเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดของโลกได้อย่างแน่นอน เรื่องราวที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 14 ปีที่เปิดด้วยคำทำนายที่ว่า ทีมเดียวที่จะทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นความจริงได้คือที่เบร์นาเบว
เขาตกลงที่จะเชื่อคำพูดของอดีตนักการเมือง และเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของสเปน
ในวันที่ 1 กรกฎาคม เรอัล มาดริด จึงบรรลุข้อตกลงในการคว้าตัวดาวยิงพระกาฬที่โดดเด่นที่สุดของวงการฟุตบอลฝรั่งเศสมาจากโอลิมปิก ลียง ด้วยค่าตัว 35 ล้านยูโร ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในคืนวันที่ 9 กรกฎาคม หลังจากที่เขาผ่านการตรวจร่างกายแล้ว
การเปิดตัวของเบนเซมานั้น ถึงเขาจะเป็นอีกหนึ่งเพชรเม็ดงามที่น่าจับตามองของโลกลูกหนัง แต่ไม่มีวันที่งานของเขาจะยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับของโรนัลโด (หรือแม้แต่กา้)
แฟนฟุตบอลที่เข้ามาต้อนรับในเบร์นาเบวราว 20,000 คน เป็นแค่ 1 ใน 4 ของคนที่มารอคอยโรนัลโด
มันคือสัญญาณบ่งบอกถึงการเริ่มต้นชีวิตในสโมสรใหม่ที่เขาจะไม่กลายเป็น Talisman ของทีมเหมือนที่อยู่กับลียงอีกต่อไป
ปัญหาคือเปเรซไม่ได้บอกว่าเขาต้องอดทนรอคอยแค่ไหนเพื่อจะทำความฝันให้เป็นความจริง และตรงนี้เองที่เป็นส่วนที่ยากที่สุดสำหรับอาชีพที่มีเวลาจำกัดอย่างนักฟุตบอล ที่ไม่ต่างจากเทียนเล่มหนึ่งที่มีระยะเวลาในการส่องสว่างแค่ไม่นาน
และอีกปัญหาคือสำหรับทีมอย่างเรอัล มาดริด พวกเขาต้องการเป็นที่หนึ่งเสมอ และนั่นทำให้มียอดฝีมือมากมายที่เดินทางเข้ามาสู่เบร์นาเบวด้วยคำหวาน และความฝันในแบบเดียวกับที่เบนเซมาได้รับการเสนอให้จากเปเรซ ประธานสโมสรผู้ยิ่งใหญ่
ไม่ใช่ทุกคนที่จะอดทนอยู่ใต้เงาของคนอื่นไหว โดยเฉพาะกับคนที่มีความสามารถพิเศษไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งเราได้เห็นมาแล้วนักต่อนักสำหรับกองหน้าในทีมเรอัล มาดริด ที่ย้ายเข้ามาก่อนจะย้ายออกไปเพราะอยู่ไม่ได้ โดยปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะเงาของ คริสเตียโน โรนัลโด นั้นยิ่งใหญ่เกินไป
อัลบาโร เนเกรโด, เอ็มมานูเอล อเดบายอร์, โฆเซ กาเยฆอน, ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ, อัลบาโร โมราตา คือตัวอย่างของคนที่มาแล้วถอดใจ พวกเขาดีไม่พอที่จะเอาชนะตำนานเสื้อหมายเลข 7 ได้
เบนเซมาก็เช่นกัน เขาต้องอยู่ใต้ร่มเงาของผู้ยิ่งใหญ่อย่างโรนัลโดเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากกาก้า หรือแม้แต่ แกเร็ธ เบล
แต่สิ่งที่ทำให้เบนเซมาแตกต่างจากคนอื่นคือ ไม่ว่าที่เบร์นาเบวจะมีใครเข้าใครออก ไม่ว่าจะเป็นโค้ชหรือคู่แข่งในทีม เขาก็ยังคงอยู่ตรงนี้เสมอ
หนึ่งในความสามารถพิเศษของยอดศูนย์หน้ารายนี้ที่คนอื่นอาจไม่มีคือเขา ‘รอคอย’ ได้เก่งกว่าใคร
อันที่จริงชีวิตในเบร์นาเบวของกองหน้าชาวฝรั่งเศสก็มีขึ้นมีลงบ้าง ท้อและคิดอยากจะถอยบ้าง รวมถึงพลาดและผิดบ้าง ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่แค่บ้าง เพราะเรื่องคดีการมีส่วนกับการแบล็กเมล มาติเยอ วัลบูเอนา อดีตเพื่อนนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสด้วยกันไม่ต่างอะไรจากสีดำที่ทำหกใส่รองเท้า Nike Air Force 1 สีขาวล้วน แต่ที่สุดแล้วเบนเซมาก็ยังไม่เคยหรือคิดจะจากเรอัล มาดริดไปไหน
จนกระทั่งจุดเปลี่ยนมาถึงหลังนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เมื่อปี 2018 ที่กรุงเคียฟ จบลงด้วยชัยชนะของเรอัล มาดริด ที่สยบลิเวอร์พูลลงได้อย่างราบคาบ (และทำลายชีวิตของผู้รักษาประตูผู้โชคร้ายอย่าง ลอริส คาริอุส)
‘คริสเตียโน’ บอกกับทุกคนว่าเวลาของเขากับมาดริดจบแล้ว มันถึงเวลาที่เขาจะต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาการผจญภัยครั้งใหม่อีกครั้ง
นั่นคือเวลาที่ คาริม เบนเซมา รอคอยมาตลอด 9 ปี
จากหนุ่มน้อยวัย 21 ปีในวันที่ย้ายมาจากฝรั่งเศส เบนเซมาได้รับไม้ต่อจากโรนัลโดให้เป็นผู้นำในเกมรุกของทีมในวัย 30 ปี และตรงนี้เองที่ทำให้เรื่องนี้พิเศษมากยิ่งขึ้น
ในตอนนั้นแทบไม่มีใครเชื่อว่าเบนเซมาในวัยเข้าเลข 3 ที่ถือเป็นช่วงขาลงของชีวิต อีกทั้งเรอัล มาดริดเองก็ประสบปัญหาในเรื่องของผลงานในสนาม และดูเหมือนทีมจะเปลี่ยนแปลงแนวทางใหม่จากเน้นการซื้อดวงดาวที่พราวแสงแบบสำเร็จรูป คราวนี้เปเรซขอเดิมพันกับอนาคตอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ และโรดริโก แทน มันมองแทบไม่เห็นความเป็นไปได้ที่ทุกอย่างจะออกมาสวยงาม
แต่กลับกลายเป็นว่านี่คือช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของตัวเขาและของสโมสร
ในฐานะเสาหลักของทีมที่กำลังโรยรา กลายเป็นโอกาสที่เบนเซมาได้ยกระดับการเล่นของตัวเองให้ไปสู่จุดสูงสุดของเกมฟุตบอลได้อย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับเป็น เบนจามิน บัตตัน ที่เกิดมาเพื่อเล่นฟุตบอล
สถิติการถล่มประตูของเขาอาจเป็นรอง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี อีกหนึ่งหัวหอกพระกาฬที่ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นยอดศูนย์หน้าในช่วงหลังวัยเข้าเลข 3 แต่คุณค่าของเบนเซมาที่มีต่อเรอัล มาดริดนั้นมากมายมหาศาลจนประเมินไม่ได้
งานของเขาไม่ได้มีแค่เรื่องของการทำประตู แต่ยังเป็นคนสร้างสรรค์เกมด้วยในคราเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็น ‘Creative Forward’ กองหน้าในแบบไฮบริดที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร
หากจะเทียบให้เห็นภาพง่ายขึ้น เบนเซมานั้นเล่นคล้ายกับทั้ง โรนัลโด นาซาริโอ กองหน้าระดับเทพเจ้าชาวบราซิล และ ซีเนอดีน ซีดาน ศิลปินลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ในคนเดียวกัน โดยที่ทั้งสองก็คือ ‘ไอดอล’ ในดวงใจของตัวเขาด้วย
ในเรื่องของการล่าตาข่าย เบนเซมาอยู่ถูกที่และเวลาเสมอ และใช้มันสมองกับเทคนิคมากกว่าพละกำลัง แต่ก็ทำประตูได้ทุกรูปแบบตั้งแต่เท้าขวาข้างถนัด เท้าซ้ายที่ไม่ถนัด ลูกโหม่ง ไปจนถึงการยิงฟรีคิก ซึ่งก็เหมือนโรนัลโดผู้เป็นปรากฏการณ์
ส่วนเรื่องของการสร้างสรรค์นั้น ความสามารถของสายเลือดลูกหนังชาวแอลจีเรีย ซึ่งเป็นเหมือนพรที่ได้จากพระเจ้าให้มีมนตร์สะกดที่ปลายเท้าได้ถูกปลุกขึ้น ทำให้สัมผัสในการเล่นฟุตบอลของเขานั้นนุ่มนวลชวนฝัน ประหนึ่งเหมือนได้เห็นซีดานกลับมาเต้นระบำอยู่กลางสนามอีกครั้ง
เพราะมีเขา เรอัล มาดริดจึงสามารถยืนหยัดผ่านช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านได้อย่างสง่างาม สายเลือดใหม่ของทีมค่อยๆ เติบโตขึ้นมาจนเป็นที่พึ่งพาได้ ไม่ว่าจะเป็น ‘วินิ’ (ซึ่งเราคงจะมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องเขาต่อไป), โรดริโก, เฟเดริโก วัลเวร์เด รวมถึงกลุ่มของ เอแดร์ มิลิเตา, เอดูอาร์โด คามาแวงกา และ โอเรเลียง ชูอาเมนี
และมีเพียงเขาอีกเช่นกันในฤดูกาลที่ผ่านมา (2021/22) ที่สร้างผลงานเอาไว้อย่างน่าประทับใจ
44 ประตูจากการเล่น 46 นัด รวมกับ 15 แอสซิสต์ เป็นสถิติที่น่าเหลือเชื่อเมื่อคิดถึงวัยของเบนเซมาที่ปัจจุบันอายุล่วง 34 ปีแล้ว
แต่นั่นไม่เท่ากับความมหัศจรรย์และปาฏิหาริย์ที่เขาสร้างขึ้นในรายการใหญ่ที่สุดอย่างแชมเปียนส์ลีก ด้วยการทำให้ทีมผ่านด่านทั้งเชลซี, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และที่สำคัญที่สุดคือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาได้แบบยากจะเชื่อที่สุดทั้ง 3 รอบ
เบนเซมาตวัดเปิดบอลอย่างสุดอัศจรรย์ให้โรดริโก ทำประตูจุดประกายให้ทีม
แฮตทริกกับเชลซี และเปแอสเช ต่อด้วยการโกงความตายในตำนานในเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งปิดท้ายด้วยลูกจุดโทษแบบ ‘Panenka’ ในนาทีที่ 96 ของการแข่งขัน
ดังนั้นตามกฎใหม่ของรางวัลบัลลงดอร์ ที่มีการปรับเปลี่ยนให้คณะกรรมการพิจารณาผลงานใน ‘ฤดูกาล’ ไม่ใช่ ‘ปี’ (ตามแบบดั้งเดิม) โดยยึดตาม ‘On the individual performances and the DECISIVE and IMPRESSIVE character of the candidates’ หรือผลงานการเล่นส่วนบุคคล ที่ตัดสินเกมและบุคลิกอันเป็นที่น่าประทับใจของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ
คาริม เบนเซมา จึงควรคู่ในการเป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ประจำปี 2022 ในแบบที่ทุกคนยอมรับ และรับรู้มานานหลายเดือนแล้วว่าไม่มีทางเป็นอื่นไปได้
ก่อนที่เราจะได้เห็นเขารับบัลลงดอร์จากฮีโร่ในดวงใจของเขาอย่าง ซีเนดีน ซีดาน ชาวฝรั่งเศส (และสายเลือดแอลจีเรียเหมือนกัน) คนสุดท้ายที่ได้รับรางวัลนี้เมื่อ 24 ปีที่แล้ว
คำทำนายที่ ฟลอเรนติโน เปเรซ เคยบอกกับเขาไว้ในการพบกันเมื่อ 14 ปีที่แล้ว จึงได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์เสียที