วานนี้ (10 สิงหาคม) ทีมข่าว THE STANDARD ลงพื้นที่หมู่ 1 ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านที่ทยอยกลับเข้าสู่บ้านเรือนของตัวเอง หลังต้องอพยพหนีเหตุรุนแรงชายแดนไปอยู่ตามศูนย์อพยพนานกว่า 2 สัปดาห์
มณี ลือชา เจ้าของบ้านที่เสียหายหนักที่สุดในหมู่บ้าน เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ 24 กรกฎาคม วันที่ผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสายให้อพยพด่วน ก่อนที่เสียงระเบิดจะกระหน่ำตามมาไม่กี่วินาที
ต่อมา ผู้ใหญ่บ้านโทรมาบอกว่าบ้านของเขาถูกระเบิดลง มณี เล่าต่อว่า ตอนแรกยังไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้ จนเห็นภาพจากข่าวและชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ส่งมาให้ดู ความตกใจเกิดทันที แต่วันนั้นยังไม่สามารถกลับมาดูได้เพราะไม่ปลอดภัย
กระทั่ง 15 วันหลังเหตุการณ์ ได้กลับเข้ามาในบ้าน ความคิดแรกที่แล่นขึ้นในหัวคือ “หมดแล้ว…หมดแล้วที่สร้างมา กว่าจะทำมาได้ขนาดนี้ เงินทั้งชีวิต”
มณีบอกว่า หากวันนี้ต้องสร้างบ้านขึ้นใหม่ ไม่เพียงเงินที่ไม่มี แรงกายก็ไม่เหลือเพราะป่วย รัฐบาลคือความหวังเดียวที่จะซ่อมและสร้างให้ได้ใหม่ ข้าวและพืชผลที่หว่านไว้ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเสียหายเกือบหมด ทำให้มองไม่ออกว่ารายได้จะมาจากไหน
“ตอนอพยพก็เกือบไม่รอด รถยังไม่พ้นหมู่บ้าน ฝั่งตรงข้ามก็ยิงกระหน่ำ” มณีกล่าว พร้อมฝากถึงหน่วยงานรัฐให้ลดข้อจำกัดและเงื่อนไขซับซ้อนในการช่วยเหลือ เพราะหลายคนในหมู่บ้านไม่ได้รู้หนังสือ แต่ความเสียหายที่พวกเขาเผชิญนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
ใกล้กัน สุนทร พิมพ์โพธิ์ เจ้าของบ้านอีกหลัง เล่าเหตุการณ์นาทีชีวิตว่า ขณะทยอยนำรถจักรยานยนต์ไปเก็บที่บ้านเพื่อน ระหว่างกลับมาได้ยินเสียงระเบิด “ตู้ม” ตกลงข้างบ้านต่อหน้า ตนรีบวิ่งลงหลุมบังเกอร์ หลบสะเก็ดระเบิด นั่งรออยู่นานหลายชั่วโมงกว่าจะได้กลับเข้าบ้าน เพราะเสียงปืนและระเบิดไม่หยุดลงแม้แต่วินาทีเดียว
เหตุรุนแรงครั้งนี้ ไม่เพียงทิ้งบาดแผลบนบ้านเรือนและท้องทุ่ง แต่ยังทิ้งรอยลึกในหัวใจของผู้คนที่นี่ ผู้ซึ่งกำลังรอเพียงความช่วยเหลือที่จะพาพวกเขากลับไปใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง
