วันนี้ (9 กุมภาพันธ์) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย เปิดตัว กัณวีร์ สืบแสง ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขตสวนหลวง-ประเวศ กรุงเทพมหานคร และคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชน พร้อม ดร.เอกรินทร์ อยู่บำรุง ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตสวนหลวง พรรคไทยสร้างไทย
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า สำหรับกัณวีร์ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีประสปการณ์การทำงานด้านมนุษยธรรมจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees: UNHCR) ผ่านการทำงานในช่วงเวลา 12 ปี ใน 8 ประเทศ เช่น ประเทศซูดาน, ซูดานใต้, ยูกันดา, บังคลาเทศ, เมียนมา และประเทศไทย ที่ดูแลปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบชาวเมียนมาในไทย และล่าสุดจบภารกิจในตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ UNHCR ประจำประเทศเมียนมา และก่อนหน้านั้นเคยรับราชการในสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในสำนักความมั่นคงกิจการชายแดนและการป้องกันประเทศ
“ประสบการณ์และความตั้งใจที่จะมาเป็นผู้แทนราษฎรของคุณกัณวีร์จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ทั้งในเขตพื้นที่สวนหลวง-ประเวศ ที่พรรคส่งลงสมัคร ส.ส. และการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม ที่ตั้งใจชูนโยบายสันติภาพกินได้และมนุษยธรรมนำการเมือง ซึ่งจะเป็นอีกนโยบายสำคัญของพรรคไทยสร้างไทย” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
ด้านกัณวีร์ขอบคุณคุณหญิงสุดารัตน์และพรรคไทยสร้างไทยที่ให้โอกาสมาร่วมงานการเมือง และขอนำประสบการณ์ที่เดินทางไปสร้างโลกมาร่วมสร้างไทย
“ผมเป็นคนชอบการเมืองมาตั้งแต่เด็กที่เรียนด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เคยผิดหวังและหมดหวังกับการเมืองไทย เพราะคิดว่าอาจทำอะไรไม่ได้ เพราะรับราชการมาหลายปีคิดว่าจะทำงานเพื่อประชาชนได้ แต่ผมเติบโตในช่วงรัฐประหารมายาวนานจากรัฐราชการที่ทำอะไรเพื่อประชาชนได้ไม่มาก จึงตัดสินใจสมัครไปทำงาน UNHCR ไปสร้างโลกให้คนที่หนีตายจากระบบที่ล่มสลาย ไปช่วยกลุ่มคนกว่า 60 ล้านคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งผมได้ช่วยสร้างระบบสังคมเศรษฐกิจ ครอบครัวให้กับคนเหล่านั้นจากลบกลายเป็นบวก”
.
กัณวีร์เปิดเผยว่า เหตุผลที่อยากมาทำงานการเมือง เพราะอยากจะนำประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้มาร่วมสร้างไทย ซึ่งการตัดสินใจสำคัญมาจากระหว่างทำงานอยู่ที่สำนักงานเมืองพะอัน เมียนมา ในวันที่ 4 กรกฎาคมปีที่แล้ว เห็นการเปิดตัวพรรคไทยสร้างไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้ฟังแล้วชื่นชอบนโยบายพรรค โดยเฉพาะนโยบายสำคัญที่พูดถึง 4 คำสำคัญ คือ Liberate, Empower, Facilitate, Support ทำให้มีหวังกับการเมืองไทย จึงอยากกลับมาทำงานการเมือง เพราะ 4 คำนี้จะแปลงไปสู่การปฏิบัติได้ ซึ่งจะปลดปล่อยประชาชนจากรัฐราชการ โดยการเสริมอำนาจให้กับคนเล็กคนน้อยสามารถที่จะกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ในทางการเมือง โดยรัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกและสนับสนุนประชาชนคนไทยให้เข้าถึงระบบสาธารณะให้ได้
“ผมสร้างโลกมา 12 ปีแล้ว ไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ผู้พลัดถิ่นมาหลายประเทศ ในพื้นที่สงครามความขัดแย้ง ทั้งสงครามกลางเมืองและสงครามความอดอยาก ทำให้ผมอยากกลับมาช่วยคนตัวเล็กตัวน้อยให้กำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ จึงอยากจะมาทำงานการเมืองไทย และนำประสปการณ์ของผมที่อยากทำงานด้านสันติภาพ ที่ต้องการเห็นสันติภาพกินได้ และต้องการนำมนุษยธรรมมานำการเมือง”
กัณวีร์เปิดเผยว่า นโยบายสันติภาพที่กินได้ หมายถึงการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนที่จะเป็นไปได้ ต้องเริ่มจากการวางรากฐานที่มั่นคงในชีวิตของคนตัวเล็กตัวน้อยจำนวนมากในระดับฐานราก ซึ่งเกี่ยวพันกับการทำให้ผู้คนกินอิ่ม นอนหลับ และได้รับการเสริมอำนาจในการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ อย่างสอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมและไม่ทำลายฐานทรัพยากรที่เป็นต้นทุนสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชน เพื่อให้อำนาจทางเศรษฐกิจกระจายไปอยู่ในมือคนตัวเล็กตัวน้อยและชุมชนฐานราก กระทั่งพวกเขาสามารถร่วมกำหนดอนาคตตามความฝันของตนเองได้ไม่น้อยไปกว่าทุนขนาดใหญ่ ข้าราชการ และคู่ขัดแย้งในการเมืองแต่ละระดับ
ส่วนนโยบายมนุษยธรรมนำการเมือง เราต้องเปลี่ยนการเมืองที่ติดกับดักความขัดแย้งมาหลายปีให้เป็นการเมืองที่สร้างสรรค์โดยใช้หลักมนุษยธรรมนำหน้า หลักที่ว่านี้คือการคำนึงถึงประชาชนเป็นศูนย์กลางในการพิจารณา การเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายผลประโยชน์ต่างๆ การจัดลำดับความสำคัญ เนื่องจากทรัพยากรที่มีจำกัดเมื่อเทียบกับปัญหาต่างๆ และสุดท้ายการเป็นอิสระไม่ผูกติดกับกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเดียวที่เราเป็นอิสระไม่ได้คือ ‘ประชาชน’
“การทำงานด้านมนุษยธรรม เป็นการทำงานในภาวะฉุกเฉิน การใช้หลักมนุษยธรรมนำการเมือง แสดงว่าการเมืองไทยเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินแล้ว เราผ่านความขัดแย้งมายาวนาน จำเป็นต้องหาหลักการอันใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลง เราเห็นระบบราชการนำการเมืองไทย โดยผ่านการรัฐประหารที่ซ้ำซ้อน ต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งการนำหลักมนุษยธรรมที่ให้คุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มองประชาชนเป็นศูนย์กลางนี่แหละครับ จะนำการเมืองไทยออกจากวิกฤตนี้ และคุณหญิงสุดารัตน์เป็นผู้นำที่จะนำไทยออกจากวิกฤตการเมืองนี้ได้”
กัณวีร์เปิดเผยว่า ก่อนจะเปิดตัวได้ขอคุณหญิงสุดารัตน์ ที่จะลงทำงานในพื้นที่เขตสวนหลวง-ประเวศ เพราะเห็นว่าก่อนที่จะมาเสนอตัวเป็นผู้แทนราษฎรต้องเข้าไปเป็นครอบครัวของชาวสวนหลวง-ประเวศเสียก่อน จึงได้เริ่มไปทำความรู้จักผู้นำชุมชน และรู้จักพื้นที่ให้ได้มากที่สุด จนพบว่าเขตสวนหลวงมีศักยภาพมากมายที่จะพัฒนา โดยพบว่าเขตสวนหลวงเป็นเมืองแห่งคลอง ที่มีชุมชนริมคลองที่กลายเป็นวิถีชีวิตที่จะส่งเสริมทั้งการสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นประวัติศาสตร์ชุมชน และส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ และในหลายพื้นที่ยังประสปปัญหาที่ตั้งใจจะทำงานในทันที เช่น จะนำประสปการณ์จากการทำงานด้านสถานการณ์ฉุกเฉิน มาตั้งทีมฉุกเฉินในการช่วยเหลือประชาชน เป็นนโยบายที่เรียกว่า ‘Health & Wealth’ ที่ความต้องการของประชาชนกลุ่มนี้จะต้องได้รับการตอบสนองในเรื่องการเข้าถึงสุขภาพที่ดี การมีระบบบริการทางการแพทย์ในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างทันท่วงที ซึ่งพร้อมเข้าไปหาตลอด 24 ชั่วโมง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมกิจกรรมเศรษฐกิจที่สามารถต่อยอดรายได้ของพวกเขาให้มั่งคั่งได้มากขึ้น