เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกสิกรไทยเพิ่งปล่อยแอปพลิเคชัน ‘K PLUS’ เวอร์ชันใหม่แบบยกเครื่องทั้งระบบให้ผู้ใช้งานและลูกค้าทุกคนได้เริ่มทยอยอัปเดตกัน โดยการเปลี่ยนโฉมครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ ‘เปลี่ยนเพื่อรู้ใจขึ้น’ เพิ่มทั้งฟีเจอร์ด้านไลฟ์สไตล์และผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ AI เข้ามาช่วยให้การใช้งานด้านต่างๆ สะดวก และตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบครัน
เมื่อผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำของประเทศอย่างกสิกรไทย ประกาศปรับปรุงแอปพลิเคชันโฉมใหม่ในรอบ 5 ปีทั้งที การรีดีไซน์ครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนจะมีฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ น่าใช้บ้าง THE STANDARD ขออาสาพาคุณไปทำความรู้จักการใช้งานกันคร่าวๆ
1. อินเตอร์เฟซเปลี่ยนไป ‘ใช้ง่ายขึ้น เรียบหรู และดูแพง’
พออัปเดตแอปพลิเคชันเวอร์ชันใหม่แล้ว (วิธีอัปเดต K PLUS โฉมใหม่) ความเปลี่ยนแปลงอันดับแรกที่คุณจะเห็นคือโลโก้แอปฯ แบบใหม่ที่ดูทันสมัยและลงตัวมากขึ้น
เมื่อคลิกเข้าแอปพลิเคชันก็จะเห็นว่าหน้าตาอินเตอร์เฟซของ K PLUS ก็ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยโทนสีเขียวน้ำทะเล (แบบเก่าเน้นใช้โทนสีดำและเขียวเป็นหลัก) เมนูต่างๆ ถูกจัดวางใหม่ให้สะดวกต่อการใช้ แบ่งออกเป็น 4 หมวดคือ หน้าแรก, K PLUS Market, ธุรกรรม, สแกนและอื่นๆ เรียกว่าเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดจนลืมของเก่าไปแล้วจริงๆ
ขอยกหน้า ‘ธุรกรรม’ ซึ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดสุดมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง เดิมทีก่อนหน้านี้พอเราเข้าสู่ระบบของ K PLUS เวอร์ชันเก่า ตัวระบบจะแสดงผลยอดเงินคงเหลือในบัญชี พร้อมหมวดหมู่การทำธุรกรรมที่ต้องการใช้งานด้านล่างเป็นแถบสีต่างๆ ซึ่งตรงนี้หลายๆ คนไม่ทราบว่าสามารถเลื่อนซ้ายขวาเพื่อดูเมนูอื่นๆ ของ K PLUS ได้
คราวนี้ K PLUS เวอร์ชันใหม่เลยรวบการทำธุรกรรมทุกประเภทมาไว้ในหน้าเดียวกันเลย ตั้งแต่ โอนเงิน, เติมเงิน, จ่ายบิล, ขอ Statement, สินเชื่อ, ลงทุน, บริการอื่นๆ และ ‘ถอนเงิน’ ที่เราจะพูดถึงในลำดับถัดไป ซึ่งโดยรวมสำหรับผู้ใช้บางรายในช่วงแรกๆ อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวเพื่อความคุ้นชินอยู่บ้าง แต่ถ้าผ่านไปสักระยะก็จะพบว่ามันไม่ได้ซับซ้อนเลย
และอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ K PLUS อนุญาตให้ผู้ใช้ล็อกอินเข้าบัญชีธนาคารเพื่อทำธุรกรรมผ่านระบบ Face ID ได้แล้ว ทำให้ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการรักษาความปลอดภัยของแอปฯ เพิ่มเติมจาก Touch ID หรือการใช้ PIN 6 หลัก
2. ‘KADE’ ผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ที่กสิกรไทยตั้งใจพัฒนาเพื่อลูกค้าทุกคน
น่าจะเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด สำหรับ เกด (KADE: K PLUS AI Driven Experience) ปัญญาประดิษฐ์ผู้ช่วยส่วนตัวบนแอปฯ K PLUS
เกดคือผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ที่กสิกรไทยพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยตอบโจทย์ ‘การรู้ใจ’ พฤติกรรมผู้ใช้แต่ละราย โดยเกดจะทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มเบื้องหลังเพื่อเรียนรู้การใช้งานของเรา จดจำลักษณะการใช้งานต่างๆ แล้วเสนอทางลัดการทำธุรกรรมที่ทำเป็นประจำ หรือบริการต่างๆ ที่เราสนใจผ่านหน้าเมนู K PLUS Today (เลือกเปิด-ปิดการแสดงผลได้)
นั่นคือความสามารถแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นของเกด เพราะในอนาคตกสิกรไทยจะจริงจังและมุ่งยกระดับขีดความสามารถของมันให้ฉลาดยิ่งขึ้น เป็นทั้งผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์และที่ปรึกษาทางการเงินส่วนตัว พัฒนาระบบรู้จำใบหน้าและเสียง (Face & Voice Recognitation) เพื่อใช้ทำธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว เนื่องจากในอนาคต AI จะเป็นอาวุธสำคัญที่ขับเคลื่อนภาคการบริการในทุกๆ อุตสาหกรรมธุรกิจ
3. กดเงินไม่ใช้บัตรได้แล้ว ใช้งานผ่าน Wi-Fi ก็ไม่มีปัญหา
ต่อไปนี้ลูกค้า K PLUS ทุกคนสามารถใช้งานบริการถอนเงินไม่ใช้บัตรได้แล้ว เพียงแค่เลือกหัวข้อ ‘ถอนเงิน’ ในหน้าธุรกรรม จากนั้นเลือกจำนวนเงินที่ต้องการจะถอนออกมาจากตู้ ATM แล้วใช้แอปพลิเคชันสแกน QR Code ที่ปรากฏบนหน้าจอตู้แล้วรอรับเงิน ซึ่งปัจจุบันสามารถถอนเงินจากตู้โดยไม่ใช้บัตรได้สูงสุด 50,000 บาทต่อวัน
ก่อนหน้านี้เราอาจจะเคยเห็นผู้ให้บริการทางการเงินจำนวนไม่น้อยเปิดให้ลูกค้าของตนใช้ฟีเจอร์นี้มาสักระยะ ซึ่งสาเหตุที่กสิกรไทยเลือกปล่อยฟีเจอร์นี้ออกมาตามหลังก็เพื่อพัฒนาให้แน่ใจว่าระบบถูกพัฒนาจนเสถียรและสมบูรณ์พร้อมแก่การใช้งานจริงๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับตัวผู้ใช้
นอกจากนี้ ปัญหากวนใจเรื่องไม่สามารถใช้ K PLUS ทำธุรกรรมขณะเชื่อมต่อสัญญาณ Wi-Fi หรือต้องคอยมาตั้งค่าใหม่ทุก 90 วันก็หมดไป โดย K PLUS เวอร์ชันใหม่นี้สามารถทำธุรกรรมได้ผ่าน Wi-Fi เพียงตั้งค่าครั้งแรกครั้งเดียว แต่ในขณะที่ตั้งค่าจะต้องเชื่อมต่อกับสัญญาณ 4G ก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก
4. หน้าตา e-Slip แบบใหม่ ป้องกันคนโกง
พ่อค้าแม่ค้าหรือเจ้าของธุรกิจที่เคยกังวลว่าจะถูกหลอกแจ้งโอนเงินผ่านสลิปปลอม ขอให้สบายใจได้ เพราะกสิกรไทยได้เปลี่ยนหน้าตา e-Slip แจ้งการโอนเงินแบบใหม่แล้ว ช่วยให้ผู้รับโอนตรวจสอบการทำธุรกรรมนั้นๆ ได้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ผ่าน QR Code ที่เป็นลายน้ำติดมาให้ในสลิปเลย โดยวิธีการก็ง่ายดาย แค่ใช้ K PLUS สแกน QR Code บน e-Slip ก็จะทราบข้อมูลการโอนนั้นๆ ได้ทันที ว่ายอดเงินและชื่อบัญชีผู้รับถูกต้องหรือไม่ ช่วยแก้ปัญหาการทุจริตและลดการก่ออาชญากรรมผ่านทาง Mobile Banking
5. K PLUS แอปพลิเคชัน ‘ธนาคาร’ ที่ไม่ได้มีแค่ ‘ธนาคาร’ แต่รวมทุกไลฟ์สไตล์ไว้ในที่เดียว
ความตั้งใจของกสิกรไทยในการเปลี่ยนโฉมแอปฯ K PLUS ครั้งนี้ก็เพื่อให้รู้ใจผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้น กสิกรไทยจึงให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์มาก เพราะเข้าใจว่าวันนี้ ‘การทำธุรกรรม’ และ ‘ไลฟ์สไตล์’ กลายเป็นเรื่องเดียวกันไปแล้ว ไม่ว่าจะกินข้าว ดูหนัง ช้อปปิ้ง หรือแม้แต่ใช้บริการสตรีมมิงออนไลน์ก็ต้องตัดเงินผ่านบัญชีธนาคารทั้งนั้น
ไอเดียความตั้งใจทั้งหมดนี้จึงถูกรวบมาอยู่ในหน้าเมนู K PLUS Market ที่มีบริการหรือโปรโมชันสินค้าเด็ดๆ จากพาร์ตเนอร์ต่างๆ มาให้ผู้ใช้ได้เลือก เช่น คูปองชาไข่มุกร้านดัง KOI Thé ในราคาพิเศษ หรือโปรโมชันสมัครสมาชิกฟังเพลงสตรีมมิงบน Joox เป็นต้น
นอกจากการช้อปปิ้งผ่าน K PLUS Market แล้ว K PLUS ยังมีฟีเจอร์ไลฟ์สไตล์อื่นๆ ที่สะดวกสบาย อย่างการผูกบัตรสมาชิกเข้าไปในตัวแอปฯ เพื่อใช้งานแทนบัตรพลาสติกและรับสิทธิต่างๆ ได้ทันที ซึ่งปัจจุบันมีบัตรที่เพิ่มได้แล้วคือ The 1 Card และ PTT Blue Card
นี่เป็นแค่ตัวอย่าง 5 ฟีเจอร์เรียกน้ำย่อยบน K PLUS โฉมใหม่เท่านั้น ถ้าอยากรู้ว่ามีฟีเจอร์หรือทริกเด่นๆ อะไรซ่อนไว้อีก เราขอแนะนำให้ไปลองอัปเดตแอปพลิเคชันมาลองเล่นกันดู
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีลูกค้าธนาคารกว่า 15 ล้านราย โดย 61% หรือ 9.4 ล้านรายเป็นลูกค้าที่ใช้งาน K PLUS
- ฟีเจอร์ที่คนใช้มากที่สุดใน K PLUS คือ ‘เช็กยอดเงินคงเหลือในบัญชี’ ซึ่งมีคนใช้งานเฉลี่ย 1.7 ครั้ง/วัน/คน รองลงมาคือการโอนเงิน เฉลี่ย 0.7 ครั้ง/วัน/คน
- สัดส่วนการใช้งานฟีเจอร์ไลฟ์สไตล์ (ฟีเจอร์ที่ไม่ใช่การโอน-เติม-จ่าย) มีสัดส่วนอยู่ที่ 1% ซึ่งธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าเพิ่มการใช้งานส่วนนี้เป็น 5-10%
- ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าหมายพัฒนาระบบให้รองรับการทำธุรกรรมให้ได้สูงขึ้น 2 เท่าตัวภายในปีนี้ ก่อนขยับเพิ่มเป็น 10 เท่าตัวให้ได้ภายในปีหน้า (ปัจจุบันรองรับการทำธุรกรรมสูงสุดได้ประมาณ 4,000 รายการต่อวินาที)
- ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ bit.ly/2P3BIUa