“ปั๊ว! จัสติน บีเบอร์ และ เฮลีย์ บอลด์วิน เผยเรื่องราวความสัมพันธ์และเซ็กซ์ในนิตยสาร Vogue”
“เซเลนา โกเมซ จะคิดยังไง? จัสติน บีเบอร์ ควงแขนภรรยา เฮลีย์ บอลด์วิน ขึ้นปก Vogue”
“แอนนา วินทัวร์ ต้องทำขนาดนี้เพื่อขายนิตยสาร?”
“เฮลีย์ ดูเหมือนแม่กอดลูกเลยอ่ะ”
นี่เป็นเพียงแค่ชื่อหัวข้อข่าวหรือคอมเมนต์ต่างๆ ที่ผมคาดเดาเล่นๆ ว่าจะเกิดขึ้นพอมีการรายงานเรื่องที่ จัสติน บีเบอร์ และ เฮลีย์ บอลด์วิน ขึ้นปกนิตยสารด้วยกันครั้งแรกในฐานะสามีภรรยา ซึ่งก็เล่นใหญ่ขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกอย่าง Vogue อเมริกาฉบับเดือนมีนาคม โดยภายในสามชั่วโมงก็เรียกยอดไลก์ไปแล้วเกิน 500,000 ครั้ง และสื่อเกือบทุกสำนักไม่ว่าจะบันเทิง แฟชั่น บิวตี้ หรือสำนักข่าวสำคัญก็ได้เล่นข่าวทุกแง่มุมจากบทสัมภาษณ์ในเล่มของทั้งคู่ ที่ถือว่าเข้มข้นและเปิดเผยหลายประเด็นร้อน ซึ่งเชื่อได้ว่าคนต้องพูดถึงและพอตั้งอยู่บนแผงต้องขอเปิดอ่านสักหน่อย
สำหรับหลายคนการขึ้นปกนิตยสาร Vogue และการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ของทั้งคู่อาจดูเหมือนเป็น ‘เรื่องมายา’ เป็นเรื่อง ‘น้ำเน่า’ เป็นเรื่อง ‘อี๋’ เป็นเรื่อง ‘บ้าดารา’ เป็น ‘เรื่องบันเทิงที่เอาเวลาไปสนใจการเลือกตั้งดีกว่า’ แต่สำหรับผมแล้วกลับคิดว่าแค่ปกนิตยสารเล่มนี้พร้อมบทสัมภาษณ์มีมูลค่ามหาศาลระดับโลก เพราะเป็นการสะท้อนบทบาทและจุดยืนของสังคมทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจนิตยสารแฟชั่น เรื่องความโกลาหลของโลกบันเทิง หรือเรื่องการเสพข่าวดราม่าที่เราเสพติดจนแทบตั้งสติไม่ได้
สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวผมพอเห็นปกนี้คือ ‘แอนนา วินทัวร์ ฉลาดอีกแล้ว!’ เพราะบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Vogue อเมริกาคนนี้เข้าใจถึงการเล่มเกมในยุค Digital Disruption เพื่อชิงความเป็นหนึ่งด้านยอดเอ็นเกจเมนต์และกระแสออนไลน์ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในเชิงพาณิชย์
โดยการถ่ายแบบของ แอนนี่ เลโบวิตซ์ ในครั้งนี้ถือว่าธรรมดามาก และเหมือน Conde Nast ตัดงบครั้งใหญ่เพื่อประหยัดเงิน (บริษัทกำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง) แต่ Value และตัวเลขที่ได้มา ผมเชื่อว่าสูงและจะเอาชนะนิตยสาร ELLE ปก จีจี้ ฮาดิด และ Harper’s Bazaar ปก คาร์ดิ บี ไปได้หลายเท่า บวกกับน่าจะกระตุ้นยอดขายได้ดีเลยทีเดียว เหมือนตอนที่ คิม คาร์ดาเชียน ขึ้นปกกับสามี คานเย เวสต์ ในปี 2014 และทำยอดขายได้สูงขึ้น 20% จากปกริฮานนาในเดือนก่อนหน้านั้น ถึงแม้คนจะช็อกและวิจารณ์แอนนาอย่างรุนแรงว่าคิม “เธอไม่ใช่ Vogue”
พอมาอ่านตัวบทสัมภาษณ์ ผมก็ต้องบอกว่า Vogue เองก็โชคดีไปอีกขั้นว่าจัสตินและเฮลีย์พูดอย่างหมดเปลือก และการที่จะมาใช้คำว่า ‘Exclusive’ ก็ถือว่าเหมาะสมและดูไม่พยายามใช้แบบพร่ำเพรื่อเหมือนที่เกิดบ่อยครั้งในยุคนี้กับนิตยสารต่างๆ
การสัมภาษณ์ในครั้งนี้พูดถึงประเด็น ตั้งแต่ปัญหาที่รุมเร้าชีวิตของจัสตินเพราะชื่อเสียง การที่เขาเคยติดเซ็กซ์อย่างหนักเพราะคิดว่ามันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ ช่วงชีวิตที่ติดยาเสพติด การเข้ารับการบำบัดด้วยโปรแกรม The Hoffman Process เรื่องราวของศาสนา และแน่นอนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ลงเอยด้วยการแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ ซึ่งจัสตินยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่ตัวเองอยากกลับไปมีเซ็กซ์อีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ทำสัญญากับพระเจ้าว่าจะไม่มีจนกว่าจะเจอคนที่จะใช้ชีวิตด้วย
ต้องยอมรับว่าอ่านบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ ส่วนตัวรู้สึกเห็นใจ จัสติน บีเบอร์ เป็นอย่างมาก และทำให้นึกถึงเพลง ‘I’ll Show You’ ของจัสตินจากอัลบั้ม Purpose ในปี 2015 ที่เขาเคยร้องเปิดเพลงว่า “ชีวิตผมก็เหมือนภาพยนตร์ที่ทุกคนกำลังชม ซึ่งเราข้ามไปช่วงที่สวยงามดีกว่า และลืมเรื่องไร้สาระต่างๆ ไปเสีย” ส่วนอีกท่อนเขาก็ร้องว่า “อย่าลืมว่าผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง อย่าลืมว่าผมก็เป็นสิ่งมีชีวิต”
ซึ่งหากอ่านบทสัมภาษณ์นี้เราจะเห็นว่าสิ่งที่จัสตินต้องเผชิญและแบกรับเอาไว้ส่งผลต่อชีวิตของเขา เช่นเดียวกับที่ศิลปินหลายคน เช่น บริตนีย์ สเปียร์ส, ไมเคิล แจ็คสัน หรือแฟนเก่าเขา เซเลนา โกเมซ ที่เพิ่งออกมาจากการบำบัดปัญหาเรื่องวิตกกังวล
หลายคนมักรักและเอ็นดู พร้อมสนับสนุนและช่วยผลักดันให้พวกเขาขึ้นถึงยอดภูเขาของอุตสาหกรรมบันเทิง แต่ขณะที่เราสนับสนุนพวกเขาอยู่ เราก็คลั่งไคล้จนทำให้ศิลปินเหล่านี้กลายเป็น ‘สิ่งของ’ ที่ต้องเพอร์เฟกต์ตลอดเวลาและใครห้ามแตะ แต่พอเขาทำอะไรผิดก็เท่านั้นแหละ…บาย อีกอย่างก็ต้องยอมรับว่าสื่อเองก็ไม่เบา และนับวันวิจารณญาณดูน่าเป็นห่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคนี้ที่แค่คนดังไปไลก์ คอมเมนต์ หรือ Unfollow ใครก็กลายเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมที่ต้องเขียนถึง (แม้จะเขียนสามบรรทัดจบ แล้วอัปโหลดขึ้นเว็บ) ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนสร้างแรงกดดันสะสมไปเรื่อยๆ
ในทางกลับกัน ถึงแม้ผมจะชื่นชมบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้และคิดว่ามันสะท้อนหลายปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับกับสังคมที่เราอยู่ภายใต้กรอบวัฒนธรรมป๊อป แต่ความน่าเป็นห่วงคือการตัดสินใจขึ้นปก Vogue ของจัสตินและเฮลีย์ในครั้งนี้ก็เหมือนดาบสองคม ที่ด้านดีคือจัสตินสามารถโปรโมตแบรนด์เสื้อผ้าตัวเอง ‘Drew’ ที่มีการพูดถึงในบทสัมภาษณ์ และสำหรับเฮลีย์เอง การขึ้นปก Vogue ฉบับอเมริกาก็ถือว่าจะทำให้เธอก้าวขึ้นสมรภูมิใหม่ในวงการแฟชั่นที่เทียบชั้นเพื่อนนางแบบอย่าง เคนดัลล์ เจนเนอร์ และ จีจี้ ฮาดิด ซึ่งเชื่อได้ว่าช่วงแฟชั่นวีกที่เพิ่งเริ่มในนิวยอร์กเป็นเมืองแรก หลายแบรนด์สำคัญที่อาจไม่สนใจเธอก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
แต่ด้านไม่ดีคือพวกเขาก็เหมือนเอาตัวเองกลับมาเป็นเป้าหมายอีกครั้ง โดยเฉพาะกับสื่อหมวด Gossip ที่ก็จะเล่นข่าวแบบไม่บันยะบันยังและบิดเบือน หรือถึงขั้นสร้างข่าวใหม่ๆ ที่อาจส่งผลถึงสภาพจิตใจของทั้งคู่ เพราะถ้าวันหนึ่งความสัมพันธ์ไปไม่รอด ภาพเหล่านี้จาก Vogue ก็จะกลายเป็นข่าวซ้ำเติมแบบว่า ‘จำได้ไหมตอนจัสติน บีเบอร์ กับ เฮลีย์ บอลด์วิน ขึ้นปก Vogue ในปี 2019 แต่ห้าเดือนต่อมา…’ ซึ่งเราก็เคยเห็นเกิดขึ้นกับคู่ของ วิตนีย์ ฮุสตัน และ บ็อบบี้ บราวน์ ที่หลายคนก็น่าจะรู้ว่าจบยังไงในภายหลัง สำหรับเฮลีย์เองเธอก็ต้องอดทนและมีภูมิคุ้มกันที่ดีกับแฟนคลับบางคนที่อาจยังไม่ยอมรับในตัวเธอ และคิดว่า เซเลนา โกเมซ ควรเป็นผู้หญิงที่อยู่บนปก หรือมองว่าเธอมีวันนี้ได้เพราะสามีของเธอ ซึ่งสำหรับผมก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้ามากตอนไปอ่านคอมเมนต์เหล่านี้ ยิ่งที่เขียนโดยผู้หญิงกันเอง และเราอยู่ในยุคที่ผู้หญิงเองก็ยังต้องการซัพพอร์ตกันและกัน
ผมเชื่อว่ากระแสนิตยสารปก Vogue จะยังไม่จบลงง่ายๆ และจะมีการถกเถียงไปเรื่อยๆ ในทุกแง่ทุกมุม แถมจัสตินและเฮลีย์เองก็ยังต้องดำเนินชีวิตและเติบโตเป็นคู่รัก พร้อมไปกับโลกที่รอคอยจะสนับสนุน รัก เชิดชู เปรียบเทียบ อิจฉา ด่า แซะ และแกล้งพวกเขาตลอดเวลา เพราะนั่นคือจุดสังคมที่เราได้เดินมาถึงในวันนี้
https://www.instagram.com/p/BtlG0GNlNzy/?utm_source=ig_share_sheet&igshid=1ntnygs9qti8b
Photo: Courtesy of Annie Leibovitz for Vogue Magazine, March 2019.
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: