วันนี้ (26 มีนาคม) ที่พรรคประชาธิปัตย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกประชุมทีมเศรษฐกิจบางส่วน เพื่อหารือถึงนโยบายเพิ่มเติมในเรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศหากประชาธิปัตย์มีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม, ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต, เกียรติ สิทธีอมร, ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์, วทันยา บุนนาค, ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ, ดร.สรรเสริญ สมะลาภา และ อลงกรณ์ พลบุตร
จุรินทร์ได้กล่าวถึงภาพรวมของการกำหนดทิศทางขับเคลื่อนประเทศว่า พรรคจะเดินหน้ายุทธศาสตร์ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ เป็นกรอบใหญ่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ของประเทศ สำหรับด้านเศรษฐกิจนั้นพรรคประชาธิปัตย์จะให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจมหภาค และเศรษฐกิจทันสมัย ซึ่งจะมีเศรษฐกิจอนาคตรวมอยู่ด้วย
สำหรับเศรษฐกิจฐานรากจะได้มุ่งเน้นทั้งเรื่องการให้ความสำคัญกับการเกษตร อุตสาหกรรม รวมถึงการท่องเที่ยว สำหรับเป็นพื้นฐานเรื่อง ‘สร้างเงิน’ ให้ประเทศ โดยจะมีนโยบายที่ให้ความสำคัญกับพืชเศรษฐกิจ, ปศุสัตว์, ประมง, SMEs, หมู่บ้าน-ชุมชน และผู้ใช้แรงงาน ส่วนเศรษฐกิจมหภาคจะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นเป้าหมายหลัก
ขณะที่เศรษฐกิจทันสมัยรวมถึงเศรษฐกิจอนาคตนั้น จะเน้นเรื่องการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีด้านเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนควบคู่กันไป เช่น Silver Economy ที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ, เศรษฐกิจสร้างสรรค์, Soft Power, Renew Economy, Social Economy, Digital Economy เป็นต้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า ในภาพรวมหากพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
นอกจากนี้จุรินทร์ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงนโยบายสำหรับกรุงเทพมหานครว่า พรรคได้มีการแถลงนโยบายไปแล้วและยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่ประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญ และนโยบายกรุงเทพฯ จะมี 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 นโยบายรวมของพรรค
ส่วนที่ 2 นโยบายเฉพาะในส่วนทีมกรุงเทพฯ
โดยนโยบายรวมที่เกี่ยวพันกับคนกรุงเทพฯ เช่น การจัดตั้งธนาคารชุมชน 2,800 กว่าชุมชนทั่วกรุงเทพฯ ชุมชนละ 2 ล้านบาท
รวมถึงการจัดให้มีอินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุดทั่วประเทศ โดย 1 แสนจุดจะเป็นของกรุงเทพฯ เพื่อให้อินเทอร์เน็ตมีส่วนในการขับเคลื่อนหรือใช้ประโยชน์ในการ ‘สร้างเงิน’ ให้กับทั้งคนกรุงเทพฯ และกลุ่ม SMEs ต่างๆ ในชุมชนของกรุงเทพฯ รวมไปถึงการใช้ประโยชน์สำหรับการเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ด้วย
นอกจากนี้ยังมีนโยบายเรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่ตลาดต้องการ ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี ใช้บัตรประชาชนใบเดียว ชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000 บาท ทุกชุมชน-หมู่บ้าน SMEs ต้องมีแต้มต่ออย่างน้อย 3 แสนล้านบาท ปลดล็อกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้สามารถซื้อบ้านได้ สามารถลดหนี้ได้ในทันที และสามารถนำเงินที่จะต้องไปใช้หนี้นั้นไปสร้างเงินให้กับข้าราชการและผู้ใช้แรงงานได้ รวมถึงนโยบายอื่นๆ เช่น นมโรงเรียนฟรี 365 วันด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงที่มาของงบประมาณในการดำเนินนโยบาย จุรินทร์กล่าวว่า เรื่องนี้จะมีเงินแต่ละแหล่งของนโยบาย ทั้งในส่วนงบประมาณแผ่นดินและแหล่งเงินอื่นๆ ที่มีอยู่ในจุดต่างๆ ซึ่งเราได้ดูอย่างรอบคอบทั้งหมดแล้ว โดยมีหลักใหญ่ว่าจะไม่เน้นการสร้างหนี้สาธารณะเพิ่มโดยไม่จำเป็น
เมื่อผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า จากผลสำรวจที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่อยู่ในอันดับต้นๆ จุรินทร์กล่าวว่า ในการเลือกตั้งเที่ยวหน้ามีบัตร 2 ใบ คือ บัตรเลือกผู้สมัครและบัตรเลือกพรรค มั่นใจว่าสำหรับผู้สมัครของเรา พรรคได้คัดคนที่มีคุณภาพและศักยภาพที่ดีที่สุดยุคหนึ่งที่นำเสนอให้คนกรุงเทพฯ แล้ว ส่วนพรรคเราก็มั่นใจว่าเสียงตอบรับพรรคประชาธิปัตย์ดีขึ้นเป็นลำดับ ส่วนโพลนั้นก็อยู่ที่ว่าเป็นโพลสำนักไหน และอยู่ที่การสำรวจในแต่ละช่วงเวลา ขอไม่ไปวิจารณ์โพล แต่เราก็มีความมั่นใจจากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทุกเสียงได้สะท้อนมาในลักษณะใกล้เคียงกันว่าเสียงตอบรับประชาธิปัตย์ดีขึ้น
“เรามั่นใจของเราว่าเสียงตอบรับใน กทม. ดีขึ้นเป็นลำดับ และจะต้องทำงานหนักไปจนกระทั่งวันสุดท้ายที่จะสามารถหาเสียงได้ แต่ไม่ได้จบเท่านี้ หลังจากนั้นก็ยังต้องทำต่อไป เพราะประชาธิปัตย์กับ กทม. ผูกพันกันมายาวนาน และยามทุกข์ ยามสุข เราก็ไม่เคยทิ้งคนกรุงเทพฯ ตอนโควิดมีกี่พรรคที่ลงไปช่วยดูแลคนกรุงเทพฯ ก็นับนิ้วได้ ประชาธิปัตย์เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำอย่างต่อเนื่อง” จุรินทร์กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการจัดสรรผู้สมัครของพรรคทั่วประเทศ จุรินทร์ตอบว่า ตอนนี้ในเบื้องต้นได้จัดสรรไว้ครบ 400 เขตแล้ว และบัญชีรายชื่อก็ครบ 100 คนแล้ว เพียงแต่ต้องรอการทำไพรมารี ซึ่งพรรคจะทำ 3 วัน ระหว่างวันที่ 25-27 มีนาคม เมื่อผลการทำไพรมารี 77 จังหวัดจบเมื่อไร และเห็นชอบผู้สมัครเขตครบ 400 คน บัญชีรายชื่อครบ 100 คน ก็จะประกาศให้ทราบต่อไป ดังนั้นถือว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมแล้วสำหรับการลงสนามเลือกตั้งที่จะมาถึง