เธอกับฉัน ความทรงจำมากมาย
หนึ่งในความทรงจำของ เจอร์เกน คล็อปป์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้าที่จะมีใครไปถึงตำแหน่งแชมป์แห่งเกาะอังกฤษ ในการพบกันเมื่อต้นเดือนมกราคม 2018 วันนั้นลิเวอร์พูลโชว์ผลงานยอดเยี่ยม เป็นฝ่ายที่หนีห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ถึง 4-1 ที่แอนฟิลด์ แต่แทนที่จะยอมถอดใจ พลพรรคเรือใบสีฟ้าต่างรุกไล่จนตามกลับมาถึงสกอร์ 4-3 โดยที่เกือบจะได้รางวัลของความพยายามเป็นประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกมด้วย
วันนั้นในขณะที่เดอะ ค็อป ทั่วโลกถอนหายใจดังฟู่ ผู้จัดการทีมอย่างคล็อปป์กลับเอ่ยปากชมคู่แข่งอย่างเป๊ปในระหว่างการยืนให้สัมภาษณ์ภายในอุโมงค์สนามหลังจบเกมว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ฟุตบอลเป็นไปได้ ถ้าทั้งสองทีมมีการรวมเอาคุณภาพ ทักษะ และทัศนคติเข้าด้วยกัน”
ก่อนที่ทั้งคู่จะยืนพูดคุยเคียงข้างกันราวกับเป็นพี่น้องหรือผองเพื่อนที่ผ่านวันเวลามาด้วยกัน
แขนของคล็อปป์วางไว้บนบ่าของเป๊ป เป็นเครื่องหมายของมิตรภาพระหว่างทั้งสอง และในเวลาเดียวกันมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยอันยิ่งใหญ่ของพรีเมียร์ลีก
แต่เวลาช่างโบยบินรวดเร็ว วันนี้จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างคล็อปป์กับเป๊ปแล้ว
ในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอังกฤษ จะมียุคสมัยของผู้จัดการทีมที่เป็นคู่แข่งที่มีความร้อนแรงของการขับเคี่ยวสูงปรากฏขึ้นบ้างนานๆ ครั้ง
ยุคสมัยของใครที่ติดตามเกมฟุตบอลมายาวนานกว่า 20 ปีจะรู้คือ การแข่งขันกันระหว่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่ถือเป็นหนึ่งใน ‘ยุคทอง’ ของเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ต่างใช้ทุกอย่างที่มีในชีวิตไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความสามารถ ไปจนถึงเกมจิตวิทยา เข้าห้ำหั่นกัน
ความเดือดดาลนั้นถูกส่งผ่านไปถึงแฟนฟุตบอลและนักเตะในสนาม จนเกิดเหตุการณ์ ‘Pizzagate’ อันลือลั่น เมื่อมีคนปาพิซซ่าใส่เซอร์อเล็กซ์ในอุโมงค์สนาม (เวลาต่อมามีการเฉลยว่าคือ ฟรานเชสก์ ฟาเบรกาส ที่เป็นกองกลางวัยรุ่นของทีมในยามนั้น)
ถ้าเก่าไปกว่านั้นคือยุคสมัยของ ดอน เรวี ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอลแลนด์โรดของลีดส์ ยูไนเต็ด กับ ไบรอัน คลัฟ กุนซือระดับอัจฉริยะของวงการ ที่พาน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คว้าแชมป์ดิวิชัน 1 ของอังกฤษ และพิชิตแชมป์ยูโรเปียนคัพได้อย่างยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
แต่ถ้าใหม่ขึ้นมาอีกนิดในยุคมิลเลนเนียล ความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่าง ราฟาเอล เบนิเตซ กับ โชเซ มูรินโญ ซึ่งเป็นสองผู้จัดการทีมระดับท็อปจากภาคพื้นยุโรปที่เข้ามาสร้างสีสันในอังกฤษเมื่อปี 2004 ก็เป็นการขับเคี่ยวที่เร่าร้อนไม่เบา
อย่างไรก็ดี สำหรับคล็อปป์กับเป๊ป พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์และความผูกพันกันแบบนั้น
ไม่ถึงกับเป็นมิตร แต่ก็ไม่เคยเป็นศัตรู
บางทีเราควรจะเรียกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ว่าเป็น ‘คู่แข่งแห่งชีวิต’
สิ่งที่เราจดจำได้ในการเผชิญหน้ากันของทั้งสองคือ ไม่ว่าผลการแข่งขันในวันนั้นจะจบลงด้วยรอยยิ้มหรือความเศร้า ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้กักเก็บความรู้สึกไว้ไม่ไหวขนาดไหน แต่ท้ายที่สุดเมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น ทั้งคู่จะเดินมาจับมือกันเสมอ
ครั้งหนึ่งในเกมที่เร่าร้อน เป๊ปถึงกับลืมตัวตีมือคล็อปป์ด้วยความสะใจเหมือนเด็กๆ ที่ได้แข่งกับคู่แข่งที่ท้าทายที่สุด
และอีกหลายครั้งที่ยืนพูดคุยกันเหมือนเพื่อน แม้ว่าจะไม่ใช่เพื่อนก็ตาม (มีแหล่งข่าวบอกว่าพวกเขาคุยกันบ้างแต่นานๆ ครั้ง)
แต่ในเวลาเดียวกันก็อยากจะเป็นเพื่อนจริงๆ ด้วยเหมือนกัน
ความสัมพันธ์ในแบบของคล็อปป์กับเป๊ปยังเป็นความสัมพันธ์ที่น่าเรียนรู้
อย่างแรกคือเรื่องของการเคารพและให้เกียรติผู้อื่น (Respect)
การเป็นคู่แข่งกันไม่จำเป็นต้องทับถมหรือไซโคด้วยเกมจิตวิทยา หาช่องเตะตัดขากันตลอด เหมือนที่ครั้งหนึ่งเป๊ปแทบคุมสติไม่ไหวเมื่อเจอสารพัดลูกเล่นของมูรินโญในช่วงที่เป็นคู่แข่งกันในลาลีกา
ความสัมพันธ์แบบนั้นในเชิงของคู่แข่งก็พอเข้าใจได้ แต่มันมีแต่จะบั่นทอนกัน
ในขณะที่คล็อปป์กับเป๊ปต่างไม่เคยกล่าวร้ายถึงกัน หรือต่อให้มีการกระทบกระทั่งทางคำพูดบ้าง ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่เคยมีการเก็บมาคิดจริงจัง เพราะสิ่งที่ควรใส่ใจไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่เป็นเรื่องของการพยายามทำผลงานให้ดีที่สุดในสนาม
ที่สำคัญคือการรู้จัก ‘ยินดี’ กับความสำเร็จของคู่แข่ง
ครั้งหนึ่งในปี 2019 ที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ด้วยการพิชิตสเปอร์สที่สนามเมโตรโปลิตาโน ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ในระหว่างที่คล็อปป์กำลังเดินกลับเข้าห้องแต่งตัว ลี โนบส์ หัวหน้าทีมกายภาพ หยิบเอาโทรศัพท์มือถือมาให้
บนหน้าจอโทรศัพท์ของโนบส์เขียนเอาไว้ว่า ‘Pep’
คล็อปป์รับสายด้วยนึกว่า เป๊ป ไลน์เดอร์ส ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมงานและขออำลาไปทดลองเริ่มต้นชีวิตการคุมทีมเองในเนเธอร์แลนด์โทรมา แต่เมื่อคุยไปคุยมาแล้วก็เพิ่งถึงบางอ้อว่าเป๊ปในโทรศัพท์ของโนบส์มันคนละเป๊ป
คนที่โทรมาแสดงความยินดีด้วยคือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งโนบส์เคยทำงานด้วยในทีมแมนฯ ซิตี้
และอีกหลายปีต่อมา ไม่ว่าจะมีโอกาสพูดถึงกันอย่างไร ต่างก็ให้เกียรติกันและกันเสมอ
“คล็อปป์คือคนที่ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น” เป๊ปบอกถึงคู่แข่ง ในขณะที่คล็อปป์บอกเสมอว่า “เป๊ปคือผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในโลก”
และที่สำคัญ “เราไม่จำเป็นต้องไม่ให้เกียรติกันเพียงเพราะเราเป็นคู่แข่ง”
สิ่งสำคัญที่น่าเรียนรู้ต่อมาคือ เราสามารถใช้คู่แข่งเป็น ‘แรงบันดาลใจ’ ที่ดีได้
นับจากฤดูกาล 2016/17 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของทั้งคล็อปป์ที่คุมทีมแบบเต็มตัว (หลังเข้ามากลางทางในฤดูกาลก่อนหน้า) และเป๊ปที่ตอบตกลงรับงานกับแมนฯ ซิตี้ หลังพักการทำงานด้วยอาการหมดไฟจากบาเยิร์น มิวนิก ซึ่งหากให้นับจริงๆ ก็มีช่วงเวลาที่ทั้งสองขับเคี่ยวกันในบุนเดสลีกาด้วยอีก 2 ฤดูกาล ทั้งคู่เก่งขึ้นมากอย่างน่าตกใจ
ความเก่งนั้นมาจากความต้องการที่จะเป็นผู้ชนะและทำให้ดีกว่า
เป๊ปนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็นผู้จัดการทีมอัจฉริยะที่พลิกโฉมเกมฟุตบอลไปอีกระดับ และเป็นชายผู้สร้างทีมฟุตบอลที่ใกล้เคียงกับอุดมคติในเรื่องของความสมบูรณ์แบบมากที่สุดมาตั้งแต่ครั้งอยู่กับบาร์เซโลนา แต่เมื่อเจอกับลิเวอร์พูลของคล็อปป์ที่แสนเร่าร้อนแล้ว มันสอนให้เขารู้ว่าเขาต้องเก่งให้มากกว่านี้อีกเพื่อชนะให้ได้
จากที่มักจะเป็นฝ่ายเสียท่าให้ลิเวอร์พูลของคล็อปป์บ่อยครั้งในช่วงการพบกันฤดูกาลแรกๆ ซึ่งรวมถึงในแชมเปียนส์ลีกด้วย เป๊ปค่อยๆ เรียนรู้และพัฒนาวิธีการสร้างทีม ระบบการเล่นใหม่ ที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่ดีและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ในทางตรงกันข้าม คล็อปป์เองก็พยายามอย่างสุดชีวิตเหมือนกันในแนวทางที่ตัวเองเชื่อ ค่อยๆ สร้างและประกอบทีมที่จะเล่นในแนวทางที่เขาต้องการ ฟุตบอลที่มีชีวิตชีวา ฟุตบอลที่คาดเดาไม่ได้ ฟุตบอลที่จะไม่ยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย
คล็อปป์มักจะสร้างความประหลาดใจให้แก่เป๊ปเสมอ ด้วยแนวทางใหม่ของลิเวอร์พูลที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
เพราะไม่อยากจะเป็นผู้แพ้ เราจึงได้เห็นการขับเคี่ยวที่ร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังในฤดูกาล 2018/19 ที่ต่างเก็บชัยชนะโดยไม่ยอมสะดุดเลยในช่วง 3 เดือนสุดท้าย
แมนฯ ซิตี้คว้าแชมป์ด้วยคะแนน 98 แต้ม (หลังจากฤดูกาลก่อนหน้าโกยไป 100 แต้มคว้าแชมป์สบายๆ) โดยที่ลิเวอร์พูลเป็นรองแชมป์ที่มีแต้มเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ 97 แต้ม
สิ่งนี้ทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างกันต่อมา ผลกระทบนั้นทำให้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกลายเป็นลีกที่ดีขึ้นไปด้วย ซึ่งในเวลานี้ก็มีทีมอย่างอาร์เซนอลที่ยกระดับขึ้นมาท้าชนในมาตรฐานเดียวกับที่ลิเวอร์พูลและแมนฯ ซิตี้ กำหนดไว้ และแน่นอนว่าทีมอื่นๆ เองก็ต้องขยับมาตรฐานขึ้นมาเพื่อให้สามารถพอสู้กับสองทีมได้ด้วยเหมือนกัน
เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้วก็ชวนให้รู้สึกเสียดายที่ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการทำงานทำให้คล็อปป์ตัดสินใจว่าเขาควรจะพอและหยุดพักหลังจบฤดูกาลนี้ ทั้งๆ ที่ลิเวอร์พูลในเวลานี้กลับมาเป็นทีมที่น่าตื่นเต้นอีกครั้ง หรืออาจจะเป็นชุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่เขาสร้างทีมมาด้วย
แต่อย่างน้อยที่สุดเราจะได้เห็นการดวลสมองกันเป็นครั้งสุดท้ายของคู่ปรับผู้เปลี่ยนแปลงฟุตบอลอังกฤษไปสู่ยุคสมัยอันยิ่งใหญ่
ค่าเฉลี่ยของประตูที่จะเกิดขึ้นในการพบกันระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนฯ ซิตี้ ตลอด 21 นัดที่คล็อปป์และเป๊ปคุมทีมเจอกันอยู่ที่ 3.2 ประตูต่อนัด
น้อยครั้งมากที่เกมจะจบลงด้วยการเสมอกัน และมีเพียงครั้งเดียวที่เกมจบลงด้วยการทำอะไรกันไม่ได้ 0-0
โดยที่การพบกันในวันนี้แน่นอนว่ามีความสำคัญต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของทั้งคู่ และรวมถึงอาร์เซนอลที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงที่สมศักดิ์ศรีในเวลานี้
แต่สิ่งที่มีความหมายไม่ได้น้อยไปกว่ากันคือ การพบกันที่จะเป็นครั้งสุดท้ายของคล็อปป์และเป๊ปในพรีเมียร์ลีก และอาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในอังกฤษ
เป็นการเต้นรำด้วยกันครั้งสุดท้ายก่อนจะถึงเวลาปิดฉากของยุคสมัยอันยิ่งใหญ่ที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 3 เดือนนับจากนี้
คล็อปป์เคยบอกเอาไว้เมื่อนานมาแล้วว่า “เขา (เป๊ป) เคยบอกกับผมว่า ในเวลาที่เราไม่ได้คุมทีมอะไรกันแล้วเราน่าจะได้นั่งจิบไวน์คุยกันนะ ถึงผมจะไม่ค่อยชอบดื่มไวน์ก็เถอะ แต่เราก็อาจจะไปนั่งคุยกันได้ในระหว่างที่ผมยังทำงานและเขาพักงานอยู่ ผมอาจจะไปเยี่ยมเขา เราน่าจะคุยกันได้นะ ไม่น่ามีปัญหา”
ที่คล็อปป์บอกแบบนั้นเพราะดูเหมือนว่าเป๊ปน่าจะเป็นคนที่ไปก่อน แต่วันนี้เขาเป็นคนที่เตรียมจะไปก่อน
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ใครไปก่อนหรือหลังก็เหมือนกัน
คงมีสักวันที่ได้นั่งข้างๆ ชวนคุยเรื่องต่างๆ ระหว่างเธอกับฉัน
“ตอนนั้นเราแข่งกันน่าดูเลย เพราะมีนายนะฉันเลยไปได้ไกลขึ้น”