×

ตัวตน ความคิด ชีวิตของ ‘The Believer’ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้นำ ‘ความเชื่อ’ มาสู่ลิเวอร์พูล

25.05.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • ย้อนไปในปี 2015 ทีม ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล อยู่ในภาวะที่ระส่ำระสายอย่างหนักแบบที่ไม่มีใครคาดคิดว่าทีมที่ไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกด้วยความหวังจะตกอยู่ในสภาพนั้น ทุกอย่างดูเลวร้ายจนมองไม่เห็นทางออก แต่การมาถึงของ เจอร์เกน คล็อปป์ กลับเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
  • ลิเวอร์พูล ในเวลานั้นลงสนามแบบไร้ความเชื่อมั่น สายตาของนักฟุตบอลเต็มไปด้วยความระแวง สายตาของแฟนบอลเต็มไปด้วยความสงสัย ดังนั้นมันจึงนำไปสู่ประโยคอมตะของคล็อปป์ ที่บอกให้ทุกคนช่วยกันเปลี่ยนแปลง กลับมาเป็นคนที่มีความเชื่อกันอีกครั้ง
  • มาถึงวันนี้กุนซือวัย 50 ปีกำลังจะนำทีมลงทำศึกครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา และของลูกทีมทุกคนกับการเผชิญหน้ากับ เรอัล มาดริด ทีมที่เก่งที่สุดในรายการชิงแชมป์สโมสรยุโรป ด้วยผลงานแชมป์ 12 สมัย และเป็นแชมป์เก่า 2 สมัยติดต่อกัน

ถ้าเราบิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในช่วงเดือน ต.ค. ปี 2015 ในห้วงเวลานั้นทีม ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล อยู่ในภาวะที่ระส่ำระสายอย่างหนักแบบที่ไม่มีใครคาดคิดว่าทีมที่ไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกด้วยความหวังจะตกอยู่ในสภาพนั้น

 

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือ พยายามทำทุกอย่างที่จะทำได้เพื่อกอบกู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีสักอย่างที่เขาทำได้สำเร็จ

 

ทุกอย่างมันดูเลวร้ายจนมองไม่เห็นทางออก

 

แต่การมาถึงของ เจอร์เกน คล็อปป์ เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

 

ผู้จัดการทีมคนใหม่ชาวเยอรมัน ตกลงเข้ารับงานต่อจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พร้อมกับกล่าวประโยคที่กลายเป็นประโยคอมตะสำหรับแฟนลิเวอร์พูลทุกคน

 

“เราจะต้องเปลี่ยนจากคนที่สงสัยในตัวเองให้กลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในทันที”

 

วันเวลาผ่านมา 2 ปีกับอีก 7 เดือน ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมท็อปโฟร์ได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน

 

มากกว่านั้นคือการผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ได้ด้วยผลงานน่ามหัศจรรย์

 

ทั้งๆ ที่เกือบครึ่งเขาก็ใช้ผู้เล่นเดิมๆ ที่ร็อดเจอร์สเคยใช้ แถมยังต้องเสียนักเตะระดับโลกอย่าง ฟิลิปป์ คูตินโญ ไปให้กับบาร์เซโลนาในช่วงกลางฤดูกาล ซึ่งหากเป็นทีมอื่นอาจเสียศูนย์ถึงขั้นสูญเสียได้เลยทีเดียว

 

คล็อปป์พาลิเวอร์พูลมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

 

 

ความเชื่อคือจุดเริ่มต้น

เมื่อเราคิดหรือต้องทำอะไรสักอย่าง การเริ่มต้นที่ ‘ถูก’ เป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ

 

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากเป็นนักดนตรี ขั้นตอนแรกที่เราควรจะทำคือการตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าอยากจะเล่นดนตรีเพราะอะไร แล้วเป้าหมายของเราอยู่ตรงไหน และเราจะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น

 

ถ้าอยากจะเล่นกีตาร์เพื่อจีบสาว เราก็ไปซื้อกีตาร์หลังกระทรวงมา ซื้อหนังสือเพลงมาสักเล่ม (สมัยนี้อาจจะเปิดดูคอร์ดเอาตามเว็บไซต์) แล้วก็หัดแกะเพลงเล่นกันไปตามเรื่องตามราว

 

แต่ถ้าเกิดเราอยากจะเป็นกีตาร์ฮีโร่ เล่นเพื่อเป็นตำนานของวงการ นอกจากมีกีตาร์ที่เหมาะสมกับตัวเอง เราก็ควรจะเรียนรู้เรื่องราวของดนตรี ทฤษฎีต่างๆ กฎ สูตร เคล็ดลับ หาแรงบันดาลใจจากการดูยอดนักกีตาร์คนอื่น และหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก

 

ถ้าทำได้สักวันเราก็อาจจะได้กลายเป็นกีตาร์ฮีโร่ของวงการ

 

ทีนี้กลับมามอง คล็อปป์​ กับลิเวอร์พูลบ้าง เขามองงานที่แอนฟิลด์เป็นความท้าทายที่น่าสนุก ตัวตน จิตวิญญาณ ขนบธรรมเนียมประเพณี ไปจนถึงแฟนฟุตบอลที่เต็มไปด้วยแพสชันนั้นเข้ากับความเป็นตัวของเขาได้อย่างลงตัว เพราะในความเป็นจริงแล้ว ลิเวอร์พูลกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมรักเก่าของเขานั้นแทบจะเป็นแฝดคนละฝาในวงการฟุตบอลเลยทีเดียว

 

นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาตอบตกลงที่จะรับงานนี้

 

และทันทีที่ตอบรับ เขาวิเคราะห์สถานการณ์ของทีมทันที และมองออกว่าสิ่งแรกที่เขาต้องจัดการก่อนเลยคือเรื่องของ ‘ความเชื่อ’

 

ลิเวอร์พูลในเวลานั้นลงสนามแบบไร้ความเชื่อมั่น สายตาของนักฟุตบอลเต็มไปด้วยความระแวง สายตาของแฟนบอลเต็มไปด้วยความสงสัย สายตาเช่นนี้ไม่สามารถนำมาได้แม้กระทั่งความสุขโดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสำคัญของทีมฟุตบอลอาชีพคือชัยชนะเลย

 

ถ้าจัดการตรงนี้ไม่ได้ ก็เดินหน้าต่อไม่ได้

 

ดังนั้นมันจึงนำไปสู่ประโยคอมตะของคล็อปป์ ที่บอกให้ทุกคนช่วยกันเปลี่ยนแปลง กลับมาเป็นคนที่มีความเชื่อกันอีกครั้ง

 

คล็อปป์เลือกจะไม่ ‘ขายฝัน’ และบอกทุกอย่างกันอย่างตรงไปตรงมา ดีก็บอกว่าดี ไม่ดีก็บอกไม่ดีต้องพยายามกันต่อ

 

แต่การเปลี่ยนแปลงความคิดคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายครับ ถึงจะเป็นคล็อปป์เขาก็ยังต้องใช้เวลาและผ่านความยากลำบาก บางครั้งเผชิญกับเครื่องหมายคำถามจากแฟนฟุตบอลที่ความอดทนน้อย เช่นกันกับคมปากกาจากนักวิจารณ์ที่ไม่ใช่ทุกคนจะรักและชื่นชอบในความเป็นเขาเสมอไป

 

โชคดีที่รอยยิ้ม ความอบอุ่น และอ้อมกอดของเขาเอาชนะได้ทุกสิ่ง

 

ลิเวอร์พูลค่อยๆ กลับมาเป็นทีมที่มี ‘ความเชื่อ’ อีกครั้ง

 

เชื่อว่าพวกเขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้

 

เชื่อว่าพวกเขาสามารถจะลงเล่นและสร้างความสุขให้แก่ทุกคน

 

และต่อให้เป็นวันที่พ่ายแพ้ พวกเขาก็เชื่อว่าพวกเขาจะกลับมายืนหยัดอย่างแข็งแกร่งได้

 

ไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าที่พวกเขาจะทำได้

 

 

ความมั่นใจ ความใส่ใจ และความเป็นผู้นำ

แต่ก่อนจะเป็นคนที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามเขาจำเป็นต้องมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองก่อน

 

สำหรับคล็อปป์ เขาค้นพบพรสวรรค์ด้านนี้ของตัวเองด้วยความบังเอิญครับ

 

เรื่องมันต้องย้อนกลับไปในสมัยที่คล็อปป์ยังเล่นฟุตบอลอาชีพกับไมนซ์ 05 เมื่อช่วงต้นทศวรรษที่ 90

 

โวล์ฟกัง แฟรงค์ เจ้านายของเขาในวันนั้น ได้นำนักจิตวิทยาเข้ามาพูดเรื่องจิตวิทยาสมัยใหม่ด้วยหวังจะช่วยพัฒนานักเตะในทีม ซึ่งเวลานั้นอยู่ในภาวะลำบากต้องดิ้นรนหนีการตกชั้น

 

แฟรงค์ให้กระดาษแผ่นหนึ่งและปากกากับลูกทีมทุกคน พร้อมให้คำสั่งว่า ‘วาดรูปต้นไม้ลงไปในกระดาษแผ่นนั้น’

 

ลองคิดตามนะครับว่าถ้าคุณอยู่ในห้องแต่งตัววันนั้น ต้นไม้ของคุณจะมีหน้าตาแบบไหน

 

บางคนอาจจะวาดได้สวยราวกับศิลปิน บางคนอาจจะวาดเป็นต้นไม้ที่มีเส้นแฉกๆเหมือนเด็กวาด บางคนอาจจะเป็นต้นขนาดเล็กๆ

 

สำหรับคล็อปป์ ต้นไม้ในกระดาษของเขานั้นใหญ่เท่ากับขนาดกระดาษทั้งแผ่น! ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ วาดต้นเล็กๆ กัน

 

ผู้ดูแลกิจกรรมเห็นรูปของคล็อปป์ แล้วตะโกนว่า ‘นั่นคือความมั่นใจ!’

 

วันนั้นเป็นวันที่คล็อปป์ได้รู้ว่าใจเขาใหญ่แค่ไหน และหลังจากนั้นความมั่นใจก็ได้กลายเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของเขา

 

เขารู้ว่าเขาจะปลุกความมั่นใจของคนรอบข้างได้อย่างไร โดยไม่ถึงกับต้องใช้ศาสตร์อะไรมากมาย แค่เพียงใช้ ‘ความรู้สึก’ เป็นตัวจับว่าในสถานการณ์แบบนี้ ในเวลาเช่นนี้ อะไรคือสิ่งแรกที่เขาควรจะทำ

 

บางครั้งถ้าอารมณ์ของทีมสั่นคลอน สิ่งที่เขาจะทำคือการพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบ นิ่ง สงบ เพื่อดึงสติและสมาธิของทุกคนกลับมาก่อนชี้ในสิ่งที่ต้องทำ

 

แต่ถ้าจำเป็นต้องว้ากเพื่อกระตุ้นล้างความเฉื่อยชา เขาก็พร้อมจะว้ากใส่ เพียงแต่จะมีกฎว่า คล็อปป์เป็นคนเดียวในทีมที่มีสิทธิ์จะว้ากได้

 

นอกจากจะมีความมั่นใจเป็นต้นทุนสำคัญแล้ว ในเวลาเดียวกันคล็อปป์ยังเป็นคนที่ใส่ใจในคนอื่นอย่างมากด้วยครับ

 

หลังจากที่เซ็นสัญญาคุมทีมที่โรงแรมโฮปสตรีท ในย่านใจกลางเมืองลิเวอร์พูล คล็อปป์ได้เชิญทุกคนในสโมสรมาร่วมทานดินเนอร์ด้วยกันทันที

 

วันนั้นสตาฟฟ์ทุกคนคาดหวังว่าคงจะได้ฟัง Jurgen’s Law หรือการปราศรัยชุดใหญ่จากผู้จัดการทีมคนใหม่เหมือนตามธรรมเนียมปกติ

 

ในทางตรงกันข้าม วันนั้นคล็อปป์แทบไม่พูดอะไรเลย และยังให้ทุกคนพยายามแนะนำตัวเอง บอกเล่าบทบาทหน้าที่การงานที่พวกเขารับผิดชอบในสโมสร เล่าถึงโปรแกรมการซ้อม เล่ากิจวัตรในวันแข่งขัน

 

แม้กระทั่งในช่วงก่อนการแถลงข่าวเปิดตัว (ที่แสนประทับใจ) เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์สอบถามเขาว่ามีอะไรที่เขาอยากจะกำหนดไว้ล่วงหน้าก่อนไหมว่าอะไรควรถาม อะไรไม่ควรถาม แต่คล็อปป์กลับยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้น เพราะเขาคิดว่ามันมีสิ่งที่เขาสามารถรู้และเรียนรู้ได้จากนักข่าวเหล่านั้น ซึ่งเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ตัวจริง

 

คล็อปป์ยังใส่ใจในรายละเอียดของทุกคนที่เขารู้ ครั้งหนึ่งที่แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ขอลาเพื่อไปเฝ้าภรรยาที่กำลังจะคลอดลูก แล้วปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่สโมสรคนหนึ่งไม่รู้เรื่องนี้ คล็อปป์ถึงกับเอ็ดว่า “ไม่รู้ได้อย่างไร นี่มันวันสำคัญที่สุดในชีวิตของแอนดรูว์เลยนะ”

 

มากกว่าความมั่นใจ ความใส่ใจ คล็อปป์ยังมีความเป็นผู้นำตามธรรมชาติด้วยครับ

 

มีตัวอย่างมากมายที่เราได้เห็น แต่หนึ่งในเรื่องที่หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนคือในวันที่คูตินโญย้ายออกจากลิเวอร์พูล เพื่อไปร่วมทีมบาร์เซโลนาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ลิเวอร์พูลอ่อนไหวมากที่สุดนับตั้งแต่เขาเข้ามาทำทีม

 

วันนั้นคล็อปป์ชวนสตาฟฟ์ทุกคนมาปาร์ตี้ที่บ้านของเขา

 

มันอาจมองได้ทั้งเป็นการฉลอง (?) หรือการเลี้ยงปลอบใจ แต่ความจริงแล้วคล็อปป์ไม่ได้มีเจตนาอะไรมากไปกว่าแค่อยากจะยืนยันกับทุกคนว่าต่อให้ไม่มีนักเตะหมายเลข 10 ที่เคยเป็นหัวใจของทีมแล้ว ลิเวอร์พูลก็จะไม่เป็นอะไร ทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไปเหมือนเดิม

 

คำพูดอาจเรียบง่ายและธรรมดา แต่มันเป็นสิ่งที่สตาฟฟ์ทุกคนในทีมอยากได้ยิน

 

จากวันนั้นทุกคนเชื่อและพร้อมทำตามเขาต่อ และสุดท้ายก็กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ลิเวอร์พูลยังสามารถเดินหน้าต่อมาได้ถึงทุกวันนี้ครับ

 

 

ครูของคล็อปป์

ถึงจะเป็นคนที่มีความโดดเด่นแม้จะพยายามทำตัวธรรมดาๆ ซึ่งเป็นพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานมาให้แก่เขา แต่คล็อปป์เป็นคนที่เชื่อในการทำงานร่วมกันเป็นทีมเสมอ

 

คล็อปป์มักจะบอกในการสัมภาษณ์ตลอดเวลาว่าเขาไม่เชื่อในเรื่องของการทำงานแบบ One-man show หรือข้ามาคนเดียว

 

เขาเชื่อมั่นในการทำงานเป็นทีม มันเป็นสิ่งที่คล็อปป์ยึดมั่นเสมอมาตลอดตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักเตะในทีมไมนซ์ เรื่อยมาจนถึงการได้โอกาสเข้ามาทำทีมฟุตบอลครั้งแรกก็ที่ไมนซ์เมื่อปี 2001

 

ทุกคนต้องเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และนอกจากจะพยายามเพื่อตัวเองแล้ว ทุกคนต้องพยายามเพื่อคนอื่นด้วย

 

“สิ่งสำคัญที่สุดในเกมฟุตบอลคือการทำให้คนอื่นๆ นั้นแข็งแกร่งขึ้นไปด้วยกัน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และเข้าใจจากชีวิต แต่ในเกมฟุตบอลมันพิเศษยิ่งกว่านั้น เราจำเป็นจะต้องช่วยให้เพื่อนร่วมทีมของเราเล่นให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ และถ้าเราทำได้เขาก็จะช่วยเรากลับเหมือนกัน” คล็อปป์เคยกล่าวไว้

 

คล็อปป์มองว่าการเห็นแก่ตัวมันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่าการไม่เห็นแก่ตัว ก็แค่ไม่สนใจ มองข้ามไปก็จบแล้ว

 

แต่ถ้าอยากจะเติบโตไปด้วยกันเราควรจะช่วยกันถึงจะถูก

 

คล็อปป์ทำแบบนี้มาตลอด และถึงเขาจะเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า แต่คล็อปป์ไม่เคยลืมคนที่อยู่รอบตัวเลยแม้แต่คนเดียว

 

ในวันที่ลิเวอร์พูลเสนอสัญญาใหม่ให้แก่เขาหลังทำผลงานได้น่าประทับใจ คล็อปป์ยืนยันว่าก่อนที่เขาจะเซ็นสัญญา สตาฟฟ์ทุกคนต้องได้สัญญาใหม่เช่นเดียวกันก่อน

 

เขาให้เกียรติทุกคนอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดอย่าง ปีเตอร์ คราเวียตซ์, เพพไพน์ ไลจ์นเดอร์ส, อันเดรียส คอร์นเมเยอร์, จอห์น อัคเตอร์เบิร์ก รวมถึงเพื่อนรักที่เพิ่งตัดสินใจแยกทางกันอย่าง เซลโก บูวัช ตลอดมา คล็อปป์ก็เป็นคนที่คล็อปป์ยกย่องเสมอ

 

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คล็อปป์ได้เรียนรู้มาจากคนที่เขารักและเคารพสูงสุดอย่างโวล์ฟกัง แฟรงค์ ผู้เป็น ‘ครูของชีวิต’

 

ศาสตร์ฟุตบอลทุกอย่างรวมถึงแนวคิด Gegenpressing ที่โด่งดัง คล็อปป์เรียนรู้จากแฟรงค์ ซึ่งสอนทั้งวิชาความรู้ และวิชาความรักที่มีต่อเกมลูกหนัง

 

คล็อปป์เรียนรู้จากแฟรงค์มากมายตลอดทั้งชีวิต แม้กระทั่งในวันท้ายๆ ของชีวิตยอดกุนซือที่จากไปเมื่อปี 2013

 

อีกคนที่เป็นครูสำหรับคล็อปป์คือ นอร์เบิร์ต คล็อปป์ พ่อของเขาที่คอยกระตุ้นในแบบ Norbert’s Way

 

“ผมกับพ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มันเหมือนกับผมมีเทรนเนอร์อยู่ด้วยตลอดเวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน และ 7 วันต่อสัปดาห์”

 

แต่นอร์เบิร์ตไม่เคยลงโทษลูกชายของเขาหรืออะไรแบบนั้น เพียงแต่จะบอกว่าเขาต้องการอะไร และคล็อปป์เองก็รักที่จะทำตามด้วย และมันอาจเป็นคำตอบของพวกเราว่าตัวตนของเขาในทุกวันนี้มาจากไหน

 

และครูที่สำคัญที่สุดอีกคนในชีวิตของเขาก็คือตัวเขาเอง ที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ คล็อปป์เองก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย

 

ไม่ว่าจะเป็นในวันที่เขาพบว่ายอดเงินในบัญชีที่เหลืออยู่นั้นอาจไม่สามารถทำให้เขาดำเนินชีวิตที่ดีได้

 

ไม่ว่าจะวันที่เขาต้องพยายามสู้อย่างเต็มที่ในสนามเพื่อให้ทีมหนีการตกชั้นให้ได้ เพราะนั่นหมายถึงการการันตีว่าทุกคนจะมีเงินไว้ซื้อข้าวไปอีก 12 เดือน

 

ไม่ว่าวันที่เขาตระเวณเดินทางไปทั่วอังกฤษด้วยรถไฟ นอนในยูธโฮสเทลคืนละ 5 ปอนด์ หรือบางคืนก็นอนฟรีแต่ต้องแลกกับการทำความสะอาดห้องให้

 

และอีกหลายวันที่ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง ซึ่งคล็อปป์ยืนยันว่าเขารักทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

 

มันเป็นเส้นทางชีวิตเฉพาะตัวของเขา และเขาคิดว่าเขาโชคดีที่ได้พบพานกับสิ่งเหล่านี้ คนเหล่านี้

 

 

เวลาของเหล่า Believer

ย้อนหลังกลับไปในปี 2013 คล็อปป์เคยพาทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

 

กับลิเวอร์พูล เขาล้มเหลวทั้งในลีกคัพและยูโรปาลีก ในฤดูกาลแรกที่เขาทำงานในแอนฟิลด์

 

และหากมองผลงานย้อนหลังทั้งหมด คล็อปป์มีสถิติที่แย่มากในการพาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย โดยแพ้ถึง 5 จาก 6 ครั้ง

 

มาถึงวันนี้กุนซือวัย 50 ปีกำลังจะนำทีมลงทำศึกครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา และของลูกทีมทุกคนกับการเผชิญหน้ากับ เรอัล มาดริด ทีมที่เก่งที่สุดในรายการชิงแชมป์สโมสรยุโรป ด้วยผลงานแชมป์ 12 สมัย และเป็นแชมป์เก่า 2 สมัยติดต่อกัน

 

หลายคนมองว่าลิเวอร์พูลเป็นรองในทุกมิติของสนาม

 

บ้างบอกว่านักเตะของคล็อปป์อาจจะไม่มีสักคนที่สามารถแทรกตัวในทีมของเรอัล มาดริด ได้เลย

 

ไม่นับเรื่องที่ลิเวอร์พูลเองก็มีปัญหาตัวผู้เล่นบาดเจ็บมากมายจนแทบจะไม่เหลือตัวให้เลือกใช้งาน

 

แต่สำหรับคล็อปป์ เขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการ ‘พยายามให้ดีที่สุด’

 

คล็อปป์พาทุกคนไป ‘ชาร์จแบตชีวิต’ ที่สเปนเป็นเวลา 4 วัน และเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เขาและทีมจะทำได้แล้วครับ

 

ที่เหลือคือเรื่องของหัวใจ

 

มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาสงสัยอะไรกันอีกแล้ว สำหรับลิเวอร์พูล มันเป็นเวลาที่ทุกคนต้อง ‘เชื่อ’

 

เหมือนที่คล็อปป์บอกไว้ตั้งแต่วันแรก

 

“We must turn from doubters to believers”

 

อ้างอิง:

FYI
  • คล็อปป์เกิดและเติบโตในเมืองแกลตเทิน เมืองเล็กๆ ในป่าดำ (Black Forest) ในสวาเบีย
  • สมัยเด็กๆ คล็อปป์​อยากเป็นหมอ แต่เขาเรียนไม่เก่งนัก ซึ่งเขาก็บอกว่าเป็นโชคดีสำหรับคนอื่นๆ ที่เขาไม่มีสิทธิ์จะสอบเรียนด้านนี้
  • ตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น ห่วงใยคนอื่น และรู้สึกว่าเขามีส่วนรับผิดชอบกับทุกสิ่งทุกอย่าง
  • คล็อปป์รู้ตัวตั้งแต่สมัยเล่นฟุตบอลอาชีพว่าเขาไม่มีทางจะประสบความสำเร็จ และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาเริ่มทดลองเป็นโค้ชตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ
  • ประสบการณ์ในช่วงการเดินทางทั่วอังกฤษที่กินระยะเวลา 4 สัปดาห์สอนเขาได้มาก เขารักที่จะพูดคุยกับผู้คนเพราะมันทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย
  • ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ในเกมนัดชิงที่เคียฟ คล็อปป์ยืนยันจะนำลิเวอร์พูลเดินหน้าต่อไป
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X