ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง อาจทำให้กำไร บจ. ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงราว 10,000 ล้านดอลลาร์ ในการรายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์อีกว่าแรงกดดันจากปัจจัยนี้จะกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไปอีกระยะหนึ่ง ผสมโรงกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแรงลง
Financial Times รายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่ามีผลต่อรายได้และกำไร บจ. ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาตลอดทั้งปี โดยส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตทุกอย่าง ตั้งแต่ของเล่นเด็กไปจนถึงบุหรี่ แนวโน้มดังกล่าวกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่ออุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ซีอีโอ JPMorgan เตือน เศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายใน 6-9 เดือน
- หุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปิดบวกถึง 800 จุด จากที่ร่วงหนักกว่า 500 จุด หลังการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ย.
- สหรัฐฯ รายงานเงินเฟ้อเดือน ก.ย. ที่ 8.2% สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ หุ้นสหรัฐฯ ดิ่งทันที!
Jack Caffrey ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ JPMorgan Asset Management กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นหมายความว่ามูลค่าการขายของบริษัทต่างๆ จะลดลงเมื่อบันทึกรายรับและกำไรในงบการเงิน โดยหากเทียบกับกลุ่มสกุลเงินในตลาดพัฒนาแล้ว เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 17% ในช่วง 3 ไตรมาสแรก โดยแตะระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบกว่า 20 ปี
Jonathan Golub หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนในสหรัฐฯ จาก Credit Suisse ประมาณการว่า ทุกๆ 8-10% ที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จะกระทบต่อกำไรในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 1% ทันที และหากตั้งสมมติฐานคาดการณ์กำไร บจ. ในไตรมาส 3 ปีนี้ที่ 4.80 แสนล้านดอลลาร์ การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์จะทำให้กำไร บจ. ในไตรมาสนี้หายไป 1 หมื่นล้านดอลลาร์
และแม้ว่าจะมีนักลงทุนบางคนมองว่าผลกระทบจากค่าเงินไม่น่าจะสูงไปกว่านี้ แต่ Michael Walker ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ AllianceBernstein กลับมองว่ามีความเป็นไปได้ที่กำไร บจ. จะลดลง 3% ในปีนี้ จากผลกระทบที่กล่าวมา
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำนวนมากตั้งใจมองข้ามผลกระทบดังกล่าว เพราะเลือกที่จะเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของภาคธุรกิจ ตัวอย่างเช่น เมื่อ Microsoft ปรับลดประมาณการรายได้ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์เมื่อต้นปีนี้ หุ้นของบริษัทฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในช่วงสั้นๆ และปิดการซื้อขายในแดนบวก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นคือความต้องการ (อุปสงค์) ที่ลดลง เนื่องจากคู่แข่งที่ผลิตและขายในสกุลเงินที่อ่อนค่ากว่านั้นสามารถแข่งขันได้ในราคาที่ถูกกว่า
Walker ของ AllianceBernstein เปรียบเทียบ Microsoft กับคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon แม้ว่าทั้งคู่จะตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย แต่ Microsoft กำหนดราคาสำหรับบริการ Azure Cloud ในสกุลเงินท้องถิ่น ในขณะที่คู่แข่งกับราคา Amazon Web Services ในสกุลเงินดอลลาร์
“ด้วยสกุลเงินที่เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันครั้งใหญ่สำหรับ Microsoft แต่ก็เลือกที่จะไม่ขึ้นราคา ในขณะที่ Amazon กำลังขึ้นราคาให้กับลูกค้า”
นอกจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ค่อยๆ ฟื้นตัวแล้ว ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ายังได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในช่วงปลายเดือนกันยายน ทั้งนี้เป็นเพราะนักลงทุนคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ค่าเงินดอลลาร์จะหยุดแข็งค่าและเริ่มกลับมาอ่อนค่าลงนั้นจะไม่เกิดขึ้นจนกว่า Fed จะเริ่มปรับลดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริงๆ ซึ่ง Fed เองก็ได้ส่งสัญญาณมาแล้วว่ายังไม่พร้อมจะดำเนินการยุติการขึ้นดอกเบี้ยหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย หากว่าอัตราเงินเฟ้อยังไม่กลับสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 2%
ทางด้านบริษัท Apple คาดการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนต่อธุรกิจจะแย่ลงไปอีกตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี ทำให้รายรับลดลงประมาณ 10% ในไตรมาส 4/2022
โดย Luca Maestri ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก และทางบริษัทเองก็ได้ปรับขึ้นราคาในตลาดต่างประเทศบางแห่งเพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น
Mazen Issa นักยุทธศาสตร์ที่ TD Securities กล่าวถึงปัจจัยเรื่องแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ว่า เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์ จะต้องเห็นจุดกลับตัวของ Fed เสียก่อน และจำเป็นต้องเห็นอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานแบบเดือนต่อเดือนเริ่มปรับตัวลง ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้ยังไม่เกิดขึ้น
‘บิ๊กเทคสหรัฐฯ’ เสี่ยงรายได้-กำไรลดลง
เมื่อวันพุธที่ 26 ตุลาคม หุ้น Meta บริษัทแม่ของ Facebook ร่วงเกือบ 20% หลังปิดตลาด สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีนาคม 2016 เนื่องจากบริษัทรายงานรายได้ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 รวมถึงคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 4 ที่อ่อนแอ
โดย Meta กำลังเผชิญกับทั้งการชะลอตัวในวงกว้างของการใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์ ความท้าทายจากการอัปเดตความเป็นส่วนตัวของ iOS รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก TikTok โดย Meta รายงานรายได้ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 และคาดว่าในไตรมาสที่ 4 จะลดลงติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3
บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 30,000-32,500 ล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 32,200 ล้านดอลลาร์
สำหรับไตรมาส 3/2022 รายได้ของบริษัทลดลง 4% โดยต้นทุนและค่าใช้จ่ายของ Meta เพิ่มขึ้น 19% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 22,100 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของ Meta ลดลงเหลือ 20% จาก 36% ในปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิโดยรวมลดลง 52% สู่ 4,400 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3
และเมื่อวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม Amazon เปิดเผยกำไรและรายได้ที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2022 นอกจากนี้ตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4 ของบริษัทยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
โดยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3/2022 ของ Amazon อยู่ที่ 6.12 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 8.92 ดอลลาร์
ส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเพียง 15% แตะที่ระดับ 1.1081 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.116 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้รายได้ของ Amazon ในไตรมาส 3 ปีนี้ยังขยายตัวน้อยกว่าในไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ซึ่งมีการขยายตัวแข็งแกร่งถึง 37%
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4 ปีนี้ Amazon คาดการณ์ตัวเลขรายได้เอาไว้ในกรอบ 1.30-1.40 แสนล้านดอลลาร์ หรือขยายตัวราว 4-12% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของ FactSet คาดการณ์ไว้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 13.2% สู่ระดับ 1.421 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ภายหลังจากบิ๊กเทคสหรัฐฯ รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2022 ซึ่งออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ รวมถึงเปิดเผยมุมมองต่อแนวโน้มในไตรมาส 4/2022 ที่อาจจะลดลงต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคปรับตัวลดลงอย่างหนัก โดยรวมแล้วมูลค่าตลาดหายไปราว 3.50 แสนล้านดอลลาร์
คาด ‘ดอกเบี้ยสหรัฐฯ’ แตะ 5% เดือนมีนาคมปีหน้า
Jan Hatzius นักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs Group Inc. ระบุในงานวิจัยล่าสุดว่า ขณะนี้พวกเขาคาดว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 5% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดย Fed น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเป็น 4.75-5% ในเดือนมีนาคม 2023 ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ 0.25%
ทั้งนี้ Goldman Sachs ประเมินว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมที่กำลังจะมาถึงในสัปดาห์นี้ จากนั้นจะปรับขึ้นอีก 0.50% ในเดือนธันวาคมปีนี้ และขึ้นอีก 0.25% ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2023
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวถึงเหตุผล 3 ประการที่ทำให้ Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าคือ อัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างน่ากังวล, ความจำเป็นในการทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงเมื่อสิ้นสุดมาตรการทางการคลัง และเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการเงินที่ผ่อนคลายก่อนเวลาอันควร
อ้างอิง: