คำถามยอดฮิตในกระทู้ท่องเที่ยวถามว่า
“ใกล้ๆ กับลอสแอนเจลิสมีอะไรให้เที่ยวบ้างคะ?”
“อยากขับรถไปเที่ยวลอสแอนเจลิสแบบไปเช้าเย็นกลับ มีที่ไหนแนะนำไหมคะ”
“ขอคำแนะนำเรื่องพิกัดสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากลอสแอนเจลิสหน่อยค่ะ ขอธรรมชาติสวยๆ นะคะ”
ทางหลวงที่เหมาะสำหรับ ‘โรดทริป’ เป็นที่สุด
อย่างที่ทราบกันดีว่ามลรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสูง ป่าสนทางตอนเหนือ และแถบด้านตะวันออกของรัฐ อันเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติชื่อดังอย่าง Yosemite National Park ชายฝั่งที่สวยงามของมหาสมุทรแปซิฟิกที่ทอดยาวทางด้านตะวันตกของรัฐ ซึ่งเป็นที่ตั้งของถนน Highway หมายเลข 1 ที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สวยงามและเหมาะกับการทำ ‘โรดทริป’ มากที่สุด รวมถึงภูมิประเทศแบบทะเลทรายที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกและทางตอนใต้ของรัฐอันเป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวสายแอดเวนเจอร์อย่าง Death Valley National Park ด้วยความสมบูรณ์และความหลากหลายทางธรรมชาติ ทำให้รัฐแคลิฟอร์เนียยังเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติจำนวนมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับรัฐอลาสก้า แต่จำนวนคนที่อยู่อาศัยนั้นมากกว่ารัฐอลาสก้าหลายเท่าตัวนัก
นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉันเดินทางมายังแคลิฟอร์เนีย แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ในฐานะของนักท่องเที่ยวอีกต่อไป เมื่อเราได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่นี่ คลุกคลีกับผู้คนและปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ แลกเปลี่ยนพูดคุยกับคนที่นี่ ทำให้ฉันได้เข้าใจวิถีการดำเนินชีวิตและมุมมองความคิดของชาวแคลิฟอร์เนียมากขึ้น ท้ังยังตอบคำถามที่เคยนึกสงสัยว่า ทำไมพวกเขาจึงใช้ชีวิตที่เรามักจะเรียกว่า ‘Slowlife’ แบบ ‘California Style’ ก็เพราะธรรมชาติอันหลากหลายที่ห้อมล้อมพวกเขาอยู่นั่นเอง
แน่นอนมันเปิดโลกใหม่ให้กับฉัน ได้รู้จักสถานที่เที่ยวใหม่ๆ มากขึ้นกว่าเดิม จำได้ว่าตอนมาแคลิฟอร์เนียครั้งแรก สถานที่เหล่านี้ไม่เคยอยู่ในลิสต์ บางแห่งทั้งไม่เคยได้ยินชื่อ และไม่รู้ว่ามีแบบนี้อยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับ ‘Joshua Tree National Park’ ซึ่งเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนชาวแคลิฟอร์เนียซึ่งบอกกับฉันว่า “ไม่แน่ใจว่าจะชอบไหม เห็นคนไทยกลัวแดด ที่นี่มันร้อนนะ แต่มีลมพัด สวยมาก ถ้าชอบถ่ายรูป ยิ่งพวกสาย Landscape แล้ว พลาดไม่ได้เลยนะ” แถมยังบอกต่ออีกว่า “ถ้าชอบดูดาวให้ไปที่นี่ แล้วถ่ายดาวตอนกลางคืนจะออกมาสวยมาก แถม Airbnb ก็ราคาไม่แพงและสวยมากด้วย”
เมื่อได้ยินเสียงอวยมาเยอะ สุดท้ายจึงทนไม่ไหวและตัดสินใจว่าต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง เช้าวันนั้นเราขับรถออกมาจากลอสแอนเจลิส โดยใช้ถนนสาย 10 มาเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานมากก็ถึง ระหว่างทางที่ขับรถผ่าน สังเกตได้ถึงภูมิประเทศที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป จนไม่ต้องดู GPS ก็รู้ได้ว่านี่คงมาถึงแล้วจริงๆ จากตึกใหญ่ๆ และผู้คนมากมายในลอสแอนเจลิส ตอนนี้สองข้างทางเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา สลับไปกับบ้านชั้นเดียวเตี้ยๆ ตลอดทางที่รถแล่นผ่าน
สัญญาณอินเทอร์เน็ตบนมือถือเริ่มลดลง จึงตัดสินใจทำการบ้านหาที่ไปต่อจากตรงนั้น เราจอดรถหยุดอยู่แถวแยกกลางเมืองที่ไม่น่าเชื่อว่านี่คือเมืองแล้ว เพราะเป็นเพียงแค่สี่แยกหนึ่ง ไม่ได้มีช้อปปิ้งมอลล์หรือตึกใหญ่ให้เห็น เราตกลงกันว่าจะหากาแฟดื่มกันก่อน เพื่อจะได้ถือโอกาสสอบถามข้อมูลจากคนในท้องที่เสียเลย
พิพิธภัณฑ์ของช่างผมนักประวัติศาสตร์
ก่อนจะเดินถึงคาเฟ่ก็ไปสะดุดตากับบ้านสีชมพูเขียวอมฟ้าที่มีป้ายข้างบนว่า Beauty Bubble A Salon and Museum มองจากด้านนอกก็ยิ่งทำให้อยากรู้ว่าข้างในมีอะไรซ่อนอยู่ เพราะเครื่องอบไอน้ำแบบวินเทจที่ถูกวางไว้ข้างหน้าร้าน และสีสันที่ใช้ตกแต่ง พร้อมกับป้ายที่บอกว่า Open นั้น เหมือนฉากที่มักจะเคยเห็นในหนังย้อนยุคโบราณไม่มีผิด ขอทายว่าข้างในนั้นต้องเป็นร้านขายของสะสมโบราณอย่างแน่นอน
“Hello! Welcome in!”
ชายหนุ่มวัยกลางคนกำลังตัดแต่งทรงผมให้สุภาพสตรีหัวสีขาวโพลนท่านหนึ่งซึ่งมีอายุราวๆ 70 ปี เขาส่งเสียงทักทายด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เราถึงกับงงๆ เพราะเมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาก็รู้สึกเหมือนย้อนยุคหลุดไปอยู่ในฉากร้านทำผมในหนังโบราณอย่างไรอย่างนั้น จากการพูดคุยกันจึงรู้ว่าที่นี่คือร้านตัดผมโบราณที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่ โดยมีช่างเพียง 1 คน แต่ที่น่าทึ่งคือของสะสมที่ถูกวางเรียงอยู่นับพันๆ ชิ้น และเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งภายในร้านล้วนแต่เป็นของโบราณทั้งสิ้น หลังจากชายหนุ่มท่านนั้นได้เสร็จภารกิจ เราจึงมีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘คุณเจฟฟ์’ ผู้ที่อนุญาตให้เราได้เดินสำรวจภายในร้านอยู่นาน
ของสะสมนับพันๆ ชิ้นใน Beauty Bubble A Salon and Museum
คุณเจฟฟ์เล่าว่า ที่นี่เปิดบริการเป็นร้านตัดผมสำหรับทั้งหญิงชาย ทั้งยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่เกิดจากความรักและแรงบันดาลใจของนักประวัติศาสตร์อย่างคุณ เจฟฟ์ ผู้ผันตัวเองมาเป็นช่างตัดผม ด้วยความรักในประวัติศาตร์และเรื่องราวของความสวยความงาม คุณเจฟฟ์จึงเริ่มเก็บสะสมของใช้โบราณที่ถูกใช้ในร้านทำผมหลายยุคหลายสมัย นับตั้งแต่สมัย 60s เจ้าตัวใช้เวลาสะสมข้าวของอยู่เกือบ 30 ปี ของสะสมหายากบางชิ้นมีอายุเกินกว่า 100 ปี แถมบางชิ้นยังคงถูกนำมาใช้จริงกับลูกค้าจนทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังมีของสะสมโบราณบางชิ้นที่ถูกนำมาวางจำหน่าย ปัจจุบันร้านทำผมแห่งนี้ยังคงเปิดให้บริการและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
คุณเจฟฟ์พาเราชมภายในร้านอยู่นานเกือบชั่วโมง เมื่อพูดคุยกันอย่างสนิทสนม เลยได้โอกาสขอคำแนะนำเรื่องเที่ยวใน Joshua Tree National Park เสียเลย คุยเสร็จก็ปาไปบ่ายโมงกว่า เหลือเวลาอีกไม่นานก่อนท้องฟ้าจะมืด เราขับรถออกจากในตัวเมือง ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที ก็ถึงทางเข้าอุทยาน โชคดีที่เรามีบัตร Annual National Park Pass อยู่แล้ว ก็เลยเข้าได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ตั้งแต่ปากทางเข้าเราก็รู้เลยว่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตในอุทยานคงไม่มีแน่ๆ เพราะนี่มันกลางทะเลทรายชัดๆ โชคดีที่เจ้าหน้าที่อุทยานให้ข้อมูลพร้อมกับแผนที่ จึงทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นได้เยอะ
‘เมืองลับแล’ และอุทยานแห่งชาติที่เต็มไปด้วยต้นไม้ประหลาด
การเดินทางท่องเที่ยวใน Joshua Tree National Park ทำได้ง่ายๆ มีถนนเส้นหลักตัดผ่านกลางอุทยาน ในแผนที่บอกจุดแวะพักและจุดชมวิวที่ควรค่าแก่การหยุดแวะถ่ายรูปอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า ปีนเขา หากใครสนใจด้านประวัติศาสตร์และลองศึกษาเพิ่มเติมก็จะรู้ว่าพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณและชาวอินเดียนแดงมาตั้งแต่สมัย 5,000 ปีมาแล้ว
Joshua Tree National Park เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของทะเลทราย Mojave และทะเลทรายโคโลราโด สภาพภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ เสาหินแกรนิตที่สวยงามราวกับเป็นงานศิลปะเรียงรายกันตามธรรมชาติ ต้นไม้ที่เรียกว่า ‘จาโชว’ (Joshua) รูปร่างแปลกตา ที่พบเห็นได้ตลอดทางเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่
รู้สึกได้เลยว่าธรรมชาตินี่แหละคือศิลปินเอกของโลก ทุกอย่างถูกสร้างสรรค์มาอย่างลงตัว รอให้ใครหลายๆ คนมาค้นหาและสัมผัส
‘จาโชว’ ต้นไม้รูปร่างแปลกตา สัญลักษณ์ของที่แห่งนี้
ขับรถไป แวะตามจุดแวะชมไปเรื่อยๆ ค่อยๆ สัมผัสเสน่ห์ของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ รู้สึกได้เลยว่าธรรมชาตินี่แหละคือศิลปินเอกของโลก ทุกอย่างถูกสร้างสรรค์มาอย่างลงตัว รอให้ใครหลายๆ คนมาค้นหาและสัมผัส ถึงแม้ว่าเรามีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงไม่นาน แต่ก็รู้สึกประทับใจมาก เพราะได้พบเห็นสัตว์แปลกๆ ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย พร้อมกับพืชพรรณธรรมชาติที่แปลกตา น่าเสียดายที่เราไม่ได้วางแผนจะค้างคืนที่นี่ ไม่อย่างนั้นคงมีโอกาสได้นอนดูดาวสวยๆ
ก่อนที่จะเดินทางกลับ เราตัดสินใจแวะชมสถานที่แห่งหนึ่งตามคำแนะนำของเจฟฟ์ นั่นคือ Pioneertown เมืองลับแลลึกลับใน Yucca Valley ซึ่งห่างออกไปเพียงไม่กี่ไมล์จาก Joshua Tree National Park
Pioneertown เมืองลับแลลึกลับใน Yucca Valley
เมืองนี้ถูกก่อตั้งตั้งโดยกลุ่มนักลงทุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด เพื่อใช้เป็นฉากหนังโบราณเรื่อง Old West ในสมัยทศวรรษ 1940 ซึ่งถือเป็นยุคเเรกๆ ของการทำภาพยนตร์เคลื่อนไหว และยังคงถูกใช้เป็นฉากในหนังอีกกว่า 50 เรื่องไปจนถึงยุค 1950 ปัจจุบันเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้แวะไปเยือน ที่นี่มีบาร์ ร้านอาหารย้อนยุค ร้านขายสินค้าที่ระลึกและของทำมือ รวมถึงสินค้ามือสองเก๋ๆ มากมายให้เลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน
บรรยากาศภายในเมือง ฉากหลังของหนังย้อนยุคกว่า 50 เรื่อง
- ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย แนะนำให้เดินทางท่องเที่ยวในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนมีนาคม เพราะอากาศที่นี่ค่อนข้างร้อนมากถ้ามาในหน้าร้อน อุณหภูมิอาจสูงถึง 45 องศาเซลเซียส
- เตรียมอุปกรณ์และศึกษาเส้นทางเดินป่าให้ดี เพราะบางเส้นทางอาจมีระยะทางยาวหลาย 10 ไมล์
- อย่าลืมถ่ายรูปสวยๆ บนก้อนหินขนาดใหญ่มหึมา ที่นี่มีจุดปีนเขาซึ่งเป็นที่นิยมของนักปีนเขาหลายพันจุด แต่ก่อนที่จะปีนขึ้นไปนั้น ควรศึกษาข้อมูลและข้อปฏิบัติอย่างละเอียดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- ในตัวเมืองยังมีคาเฟ่เก๋ๆ และร้านขายของมือสองไว้ให้ลองไปค้นหา
- อย่าลืมดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า ‘Chimani’ ที่จะช่วยบอกทางและจุดท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทั่วอเมริกาโดยไม่ต้องง้อสัญญาณอินเทอร์เน็ต