×

Class สิ่งที่มูรินโญไม่อาจซื้อได้และไม่มีวันเข้าใจ

20.08.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • “ถ้าคุณคือสโมสรที่ร่ำรวย คุณย่อมสามารถซื้อนักฟุตบอลระดับชั้นนำได้ทุกคน แต่คุณซื้อระดับชั้นไม่ได้” มูรินโญพูดเสียดสีสารคดี All or Nothing ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้
  • การลงมาเยือนแดนใต้ที่ซัสเซ็กซ์ เมืองเดียวกับที่ตั้งของป่าแอชดาวน์ ต้นแบบของป่า 100 เอเคอร์ในหนังสือวรรณกรรมเยาวชนอมตะ Winnie the Pooh ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบอดสูอีกครั้งด้วยสกอร์ 3-2
  • การเหน็บแนมคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเรื่องของสถานะทางการเงินและการจับจ่ายไม่ใช่คำพูดที่ฉลาดนัก เมื่อตลอดระยะเวลา 2 ปีกับอีก 2 เดือนเศษนับจากที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2016 เขาซื้อผู้เล่นมาทั้งหมด 10 ราย ใช้เงินไป 432.1 ล้านยูโร (ตามข้อมูลจาก transfermarkt.com)
  • ความแตกต่างระหว่างวันนี้กับวันวานคือการซื้อของเขาไม่สามารถนำทีมขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้เหมือนทุกครั้ง

เหมือนเรื่องตลกร้าย เมื่อคำพูดเสียดสีของ โฆเซ มูรินโญ ที่มีต่อภาพยนตร์สารคดีเรื่อง All or Nothing ของทีมเพื่อนร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับย้อนเข้าตัวอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้

 

“ถ้าคุณคือสโมสรที่ร่ำรวย คุณย่อมสามารถซื้อนักฟุตบอลระดับชั้นนำได้ทุกคน แต่คุณซื้อระดับชั้นไม่ได้”

 

มูรินโญพูดเพราะเขาหมายความเช่นนั้น ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จำเป็นอย่างยิ่งยวดในการสร้าง ‘เรื่องราว’ เพื่อดึงดูดแฟนฟุตบอลถึงขั้นจำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทีม ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘ห้องแต่งตัว’ ซึ่งเป็นส่วนที่ลับที่สุดของสโมสรฟุตบอลที่ปกติแล้วไม่ใช่ของที่จะเปิดเผย (แม้จะผ่านการตัดต่อมาแล้วก็ตาม)

 

ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น พวกเขายิ่งใหญ่ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยืนยงและยาวนานมากพอที่จะไม่ถลกเสื้อเผยเนื้อหนังเพื่อดึงดูดใคร

 

และอีกด้านของเหตุผลที่ทำให้มูรินโญต้องพูดแบบนั้นเป็นเพราะเขาไม่พอใจที่ถูกนำภาพไปใช้ในหลายซีนของสารคดีโดยไม่ได้รับอนุญาต และแน่นอนว่าไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ

 

“มีผมอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้เยอะเลยทีเดียว ซึ่งผมคิดว่าผมก็น่าจะได้ค่าลิขสิทธิ์กลับมาบ้าง” มูรินโญกล่าวถึง All or Nothing ซึ่งเขาก็มีเหตุผล เพราะสารคดีเรื่องนี้จะไม่มีสีสันเลยหากไม่มีใครสักคนที่เป็น ‘ผู้ร้าย’ (เพื่อให้เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้เป็นพระเอก)

 

ไม่มีใครเหมาะสมกับบทนี้มากไปกว่ามูรินโญ ผู้ที่ถูกนำแม้กระทั่งฟุตเทจในการสัมภาษณ์เรื่องการขายเควิน เดอ บรอยน์ ออกจากสโมสรเมื่อครั้งคุมทีมเชลซีอยู่มาปรากฏในภาพยนตร์สารคดีเรื่องยาวขนาดหลายตอนเรื่องนี้ด้วย

 

 

อย่างไรก็ดี ในเกมฟุตบอล สิ่งที่จะตัดสินคือผลงานในสนาม ไม่ใช่เรื่องของการปรากฏตัวในสารคดีหรือแนวทางการปั้นเรื่องราวเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตัวสโมสร และสิ่งที่ปรากฏขึ้นในสุดสัปดาห์นี้นั้นชัดเจนว่าทีมที่ไม่มีคลาสนั้นไม่ใช่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งถล่มฮัดเดอร์สฟิลด์อย่างย่อยยับ 6-1

 

หากแต่เป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเขาเอง The Special One

 

 

การลงมาเยือนแดนใต้ที่ซัสเซ็กซ์ เมืองเดียวกับที่ตั้งของป่าแอชดาวน์ ต้นแบบของป่า 100 เอเคอร์ในหนังสือวรรณกรรมเยาวชนอมตะ Winnie the Pooh ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบอดสูอีกครั้งด้วยสกอร์ 3-2

 

ที่บอกอีกครั้งนั้นเป็นเพราะย้อนหลังกลับไปเมื่อ 3 เดือนก่อน พวกเขาก็เพิ่งมาพ่ายที่ฟาลเมอร์ สเตเดียม สนามเหย้าของทีม ‘เจ้านางนวล’ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน

 

ความปราชัยในครั้งนั้นอาจหาข้ออ้างได้ว่านั่นเป็นช่วงปลายฤดูกาล และมูรินโญไม่ได้เลือกทีมที่แข็งแกร่งที่สุดลงสนาม (แม้ในความจริงในทีมจะมีดาวิด เด เฆอา, พอล ป็อกบา, เนมันยา มาติช และมาร์คัส แรชฟอร์ด อยู่ก็ตาม)

 

แต่สำหรับเกมล่าสุดนี้ ยูไนเต็ดแพ้โดยปราศจากข้อแก้ต่างใดๆ

 

พวกเขาเล่นได้อย่างน่าอับอายและสมควรเป็นผู้พ่ายแพ้

 

ไบรท์ตัน ทีมเล็กๆ จากเมืองเล็กๆ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีในการวางกลยุทธ์รับมือผู้มาเยือน พวกเขายังมีสองสิ่งที่ยูไนเต็ดไม่มี สิ่งหนึ่งคือความเด็ดขาดทั้งในเกมรุกและเกมรับ และอีกหนึ่งสิ่งคือ ‘ใจ’ ที่ใหญ่เกินขนาดทีมไปเยอะ

 

แต่หากเรามองในทางตรงกันข้าม ยูไนเต็ดเองก็เป็นฝ่ายทำตัวเองด้วย

 

ความผิดพลาดในเกมรับเป็นหายนะของทีมที่ทำให้เสียถึง 3 ประตูในครึ่งแรก ซึ่งมาจากสองเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอย่างเอริก ไบญี และวิกเตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ผลัดกันร่วมสร้างงานสร้างอาชีพให้กับทีมด้วยการอ่านเกมที่ผิดพลาด การยืนตำแหน่งที่ผิดเพี้ยน และการเข้าเสียบสกัดผิดจังหวะจนทำให้ทีมเสียจุดโทษในช่วงก่อนหมดเวลาครึ่งแรกแค่ไม่กี่อึดใจ

 

หากแต่ในครึ่งหลัง ถึงแม้ว่ารูปเกมจะดูดีขึ้นจากการแก้เกมในช่วงพักครึ่งเวลา แต่มันก็ไม่ดีพอที่จะทำให้พวกเขากลับมาสู่เกมได้อย่างที่ควรจะเป็นและควรจะคาดหวังได้

 

ยูไนเต็ดกลายเป็นบอลไม่มีทรง ไม่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ ไม่มีการเคลื่อนที่ทำทางที่ดี ไม่มีการผ่านบอลที่แม่นยำ ไม่มีการเจาะทะลุทะลวง

 

ทีมที่กาลครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งไม่มีสองในการแก้ไขสถานการณ์วิกฤตที่อยู่ตรงหน้าและโกงความตายให้เราได้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน ในเวลานี้พวกเขาทำไม่ได้แม้แต่จะเล่นได้ถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น

 

อย่างที่ทีมใน ‘ชนชั้น’ เช่นพวกเขาควรจะเล่น

 

ทั้งๆ ที่นักฟุตบอลในทีมไล่จากผู้รักษาประตูไปถึงกองหน้า มากบ้างน้อยบ้างก็ล้วนเป็นผู้เล่นในระดับท็อปของลีกทั้งนั้น

 

การเหน็บแนมคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเรื่องของสถานะทางการเงินและการจับจ่ายไม่ใช่คำพูดที่ฉลาดนัก เมื่อตลอดระยะเวลา 2 ปีกับอีก 2 เดือนเศษนับจากที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2016 เขาซื้อผู้เล่นมาทั้งหมด 10 ราย ใช้เงินไป 432.1 ล้านยูโร (ตามข้อมูลจาก transfermarkt.com)

 

มันอาจจะไม่มากเท่ากับที่เป๊ป กวาร์ดิโอลา ใช้ในการ ‘ปรับปรุงและต่อเติมทีม’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงระยะเวลา 2 ปีนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 1 กรกฎาคม 2016 ด้วยเงิน 599.6 ล้านยูโร (ข้อมูลจาก transfermarkt.com)

 

แต่จำนวนที่เขาใช้จ่ายนั้นก็ไม่ใช่น้อย และที่เป็นข้อเท็จจริงยิ่งกว่าคือใน 10 ผู้เล่นที่มูรินโญซื้อตัวมาร่วมทีมนั้นมีสักกี่คนที่จะเล่นได้สมกับราคา

 

พอล ป็อกบา ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกองกลางที่มีทุกอย่างพร้อมสำหรับการเป็นนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลกอย่างในวันที่เขาเล่นให้กับยูเวนตุส

 

โรเมลู ลูกากู ทำได้ดี แต่ยังไปได้ไม่ไกลจากวันที่เขาเล่นให้กับเอฟเวอร์ตัน

 

เฮนริค มคิตาร์ยาน นักฟุตบอลที่เปี่ยมด้วยไหวพริบ แต่ขาดหลายสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้เล่นระดับท็อป

 

อเล็กซิส ซานเชซ ผู้เดินทางสวนกับมคิตาร์ยานกอบโกยรายได้มหาศาลเกินจินตนาการและสั่นคลอนความรู้สึกของผู้เล่นคนอื่นในทีม ไม่เคยเล่นในฟอร์มเดียวกับที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้อาร์เซนอล

 

ขณะที่ไบญีและลินเดอเลิฟคือความล้มเหลวที่เป็นรูปธรรมที่สุด เมื่อมูรินโญต้องการกองหลังใหม่ที่ดีกว่าถึงขั้นกระจองอแงใส่เอ็ด วูดเวิร์ด ผู้บริหารที่มีหน้าที่ในการจัดซื้อจัดหาผู้เล่นตลอดฤดูร้อนที่ผ่านมา แต่ได้รับกลับมาเพียงความว่างเปล่า

 

นั่นแปลว่าเขายอมรับทางอ้อมว่านักเตะสองรายที่เซ็นสัญญาเข้ามาเองนั้นไม่ดีพอไม่ใช่หรือ

 

และความจริงแล้วนับตั้งแต่กระโดดสู่เวทีใหญ่ในลีกระดับท็อป 5 ของโลกกับการคุมทีมเชลซีเมื่อ 14 ปีก่อน The Special One คนนี้ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของการใช้เงินทุ่มซื้อผู้เล่นระดับท็อปอยู่แล้ว

 

 

ความแตกต่างระหว่างวันนี้กับวันวานคือการซื้อของเขาไม่สามารถนำทีมขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้เหมือนทุกครั้ง เพราะซิตี้ใต้การนำของเป๊ป กวาร์ดิโอลา นั้นดีเกินไปในฤดูกาลที่แล้ว (และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นอีกในฤดูกาลนี้) เช่นเดียวกับเชลซีของอันโตนิโอ คอนเต ในปีก่อนหน้า

 

ทั้งๆ ที่หากมองผลงานอย่างเป็นธรรม ความสำเร็จของสองแชมป์ในฤดูกาลแรกและการขยับจากอันดับ 6 เป็นอันดับ 2 ไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าความล้มเหลว

 

ปัญหาคือสไตล์การเล่นที่ดูเหมือนจะล้าสมัยและดูผิดที่ผิดทางไปหมด เมื่อนำฟุตบอลที่หวังเน้นผลมากกว่าสไตล์มาใช้กับทีมที่มีดีเอ็นเอของฟุตบอลเดินหน้าฆ่ามันอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

เช่นเดียวกับการที่เขาไม่สามารถดึงศักยภาพของลูกทีมออกมาได้อย่างเต็มที่เหมือนก่อน รวมถึงไม่สามารถ ‘ประกอบร่าง’ ทีมที่ดีพอในแบบที่เขาต้องการได้

 

ความไม่ลงตัวทุกอย่างมันนำไปสู่อาการ ‘พาล’ อันเป็นนิสัยเฉพาะตัวของเขา

 

พาลด้วยการเหน็บคู่แข่งไปทั่ว โดยเฉพาะกับเจอร์เกน คลอปป์ ในเรื่องของการใช้จ่าย ไปจนถึงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับสารคดีเปลื้องตัวตน

 

และหนักกว่าด้วยการพาลใส่ลูกทีมของตัวเอง ซึ่งมีหลายคนที่ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของมูรินโญ ไม่ว่าจะเป็นลุค ชอว์, พอล ป็อกบา และล่าสุดกับอ็องโตนี มาร์กซิยาล

 

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าที่แท้แล้วคนที่ไร้คลาสมากที่สุด – ซึ่งความจริงไม่ใช่อะไรที่ยากหรือซับซ้อน เพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ให้เกียรติผู้อื่น ใส่ใจลูกน้อง – อาจไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเขาในเวลานี้

 

ตัวเขาที่ดูแตกต่างจาก The Special One คนเก่าในวันวาน คนที่เคยดีกว่านี้

 

มูรินโญกำลังดำดิ่งลงไปในเงาของอดีต

 

มืดมนอนธการ มองไม่เห็นแสงสว่างในตัวเอง

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

FYI
  • ภาพยนตร์สารคดี All or Nothing มีความยาวทั้งสิ้น 8 ตอน ฉายเฉพาะทาง Amazon Prime
  • มูรินโญเหน็บทิ้งท้ายได้อย่างเจ็บแสบในเรื่องที่เขาถูกนำภาพไปใช้ในสารคดีว่า “บางทีถ้าไม่มีผม หนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ขายดีขนาดนี้ก็ได้ ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้าซิตี้จะส่งเสื้อยืดที่พวกเขาเตรียมไว้ในครั้งสุดท้ายที่เราไปเยือนพวกเขา เสื้อตัวที่บอกว่า ‘We did it on Derby Day’ (หมายถึงการคว้าแชมป์ในเกมดาร์บี ซึ่งสุดท้ายไม่ได้ใช้ เพราะแมนฯ ยูไนเต็ด พลิกกลับมาชนะสุดมัน 3-2 เลื่อนการฉลองแชมป์ของซิตี้ออกไปก่อน) ผมก็อาจจะยกค่าลิขสิทธิ์ให้”
  • ในช่วงท้ายเกมที่ฟาลเมอร์ สเตเดียม ขณะที่แฟนยูไนเต็ดกู่ร้องให้ทีมบุก เสียงสะท้อนจากแฟนบอลเจ้าถิ่นนั้นเจ็บแสบ ‘Just like Brighton, your city is blue’ (ก็เหมือนกับไบรท์ตัน เมืองของพวกคุณเป็นสีน้ำเงิน – สื่อถึงเวลานี้เบอร์หนึ่งของแมนเชสเตอร์คือซิตี้)
  • พอล ป็อกบา ยอมรับว่าทัศนคติของนักเตะยูไนเต็ดนั้นไม่ดีพอ รวมถึงตัวเขาเองด้วย ขณะที่มูรินโญปฏิเสธจะพูดถึงความล้มเหลวของทีมในเกมนี้
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X