สำหรับใครที่เป็นคอภาพยนตร์สยองขวัญ เราเชื่อทุกคนจะต้องรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของ โจโก อันวาร์ ผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญฝีมือเยี่ยมคนนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะผลงานระดับปรากฏการณ์อย่าง Satan’s Slaves (2017) ที่เคยสร้างประสบการณ์สุดหลอนให้กับผู้ชมทั่วโลก เช่นเดียวกับในประเทศบ้านเกิดที่สามารถก้าวขึ้นไปยืนเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลบนบ็อกซ์ออฟฟิศอินโดนีเซีย
ปีนี้โจโกกลับมาพร้อมกับผลงานชวนสยองเรื่องใหม่อย่าง Impetigore บ้านเกิดปีศาจ ที่ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม โดยนักวิจารณ์จากเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Rotten Tomatoes ได้ให้คะแนนมะเขือเทศสดไว้สูงถึง 95% และยังได้ออกเดินทางไปสร้างความหลอนในเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกอย่าง Sundance Film Festival, Rotterdam Film Festival และ Bucheon Fantastic Film Festival
THE STANDARD POP ชวนเหล่าคอภาพยนตร์สยองขวัญมาร่วมพูดคุยกับ โจโก อันวาร์ เพื่อขุดคุ้ยทุกแง่มุมความคิดและแรงบันดาลใจ ก่อนไปรับชม Impetigore บ้านเกิดปีศาจ ผลงานเรื่องล่าสุดของเขาในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
Satan’s Slaves (2017)
คุณกดดันไหมกับการกลับมาสานต่อผลงานเรื่องก่อนหน้าอย่าง Satan’s Slaves ที่ประสบความสำเร็จในระดับภาพยนตร์สยองขวัญที่ทำเงินสูงสุดของอินโดนีเซีย
ผมไม่รู้สึกถึงความกดดันเลย เพราะผมมีนิสัยอย่างหนึ่งคือผมจะมานั่งดูและวิเคราะห์ผลงานของตัวเองถึงข้อดีและข้อเสียว่าอะไรควรจะปรับปรุงแก้ไข หรือว่าควรทำอะไรที่แตกต่างไปจากนี้ หลังจากนั้นผมจะมานั่งค้นคว้า อ่านหนังสือ หรือเข้าคลาสเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์ให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นการทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่งถือเป็นความน่าตื่นเต้นและน่าสนใจสำหรับผมมาก ผมไม่เคยอยากทำอะไรแบบเดิมๆ ผมรู้ว่าผลงานเรื่องหน้าของผมมันจะแตกต่างจากเรื่องก่อนๆ อย่างแน่นอน ผมจึงไม่รู้สึกกดดันอะไร
หลังจาก Impetigore เข้าฉายในหลายๆ ประเทศ แล้วเสียงตอบรับก็ออกมาค่อนข้างดี ในฐานะผู้กำกับช่างวิเคราะห์ สรุปว่าพวกเขาชอบอะไรกันบ้างจากผลงานเรื่องใหม่ของคุณ
มันเกินความคาดหวังของผมมาก ผมไม่เคยคิดว่าคนดูต่างชาติจะสนุกไปกับเรื่องราวใน Impetigore ได้มากขนาดนี้ เพราะมันมีเรื่องทางวัฒนธรรมหรือองค์ประกอบบางอย่างที่ผู้ชมต่างชาติอาจจะไม่เข้าใจ แต่ด้วยความที่แกนหลักของภาพยนตร์มันเป็นเรื่องราวของคนที่พยายามจะอยู่รอดและมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ รวมๆ แล้วมันเกินคาดมาก และผมก็ดีใจมากๆ ด้วยเช่นกัน
คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเราต้องเข้ามาทำมาหากินในเมืองหลวงที่ห่างจากบ้านเกิด คล้ายๆ กับตัวละคร ‘มายา’ ตอนเขียนบท คุณต้องการจะสะท้อนอะไรลงไปในตัวละครและเรื่องราวในภาพยนตร์ของคุณบ้าง
ผมมักจะใส่ประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอมาในชีวิตลงไปในผลงานด้วย รวมถึง Impetigore ผมมาจากเมืองเล็กๆ ในสุมาตราเหนือ และผมย้ายมาจาการ์ตา ผมจึงนำเรื่องราวของผมใส่เข้าไปในคาแรกเตอร์ของมายา ตัวผมและมายาค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกัน เพราะเมื่อเราย้ายมาอาศัยอยู่ในเมือง เราทั้งคู่ต่างทิ้งชีวิตส่วนหนึ่งไว้ที่บ้านเกิดของเรา การเล่าเรื่องราวนี้จึงเหมือนเป็นการสะท้อนชีวิตส่วนหนึ่งของตัวผม
พูดกันตามตรง ไม่บ่อยนักที่เราจะมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์สยองขวัญจากประเทศอินโดนีเซีย คุณคิดว่า Impetigore จะนำเสนอมุมมองอะไรที่แตกต่างจากภาพยนตร์สยองขวัญที่คนไทยหรือคนทั่วโลกเคยดูได้บ้าง
ผมคิดว่าองค์ประกอบของ Impetigore ไม่ได้หายากมากในภาพยนตร์สยองขวัญของอินโดนีเซีย แต่ผมหวังว่า Impetigore จะเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คนดูเริ่มสนใจภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องอื่นๆ ในอินโดนีเซียมากขึ้น เพราะมันมีหลายเรื่องมากที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ก่อนหน้านี้ในช่วงยุค 70-80 อินโดนีเซียมีภาพยนตร์สยองขวัญหลายเรื่องที่กลายมาเป็นภาพยนตร์คลาสสิกซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ดังนั้นผมคิดว่า Impetigore จะเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์สยองขวัญของอินโดนีเซียมีดีอย่างไร
จริงๆ แล้วในประเทศไทยมีการแสดงพื้นบ้านอย่าง ‘หนังตะลุง’ เหมือนกัน ทำไมคุณจึงสนใจหยิบเอาวัฒนธรรมอย่างการเล่นหนังตะลุงมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความลึกลับในหนัง
ผมรู้สึกคุ้นเคยกับหนังตะลุงมาตั้งแต่เด็กแล้ว สมัยก่อนทุกๆ ครั้งที่เราเปิดทีวี ซึ่งมีช่องเดียว ณ ตอนนั้นก็คือช่องของรัฐบาล มันจะมีหนังตะลุงเล่นอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในหมู่บ้านของผมที่สุมาตราเหนือก็จะมีการเล่นหนังตะลุงอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกัน จนถึงตอนนี้ผมก็ยังดูหนังตะลุงทุกครั้งที่มีโอกาส ผมคิดว่ามันน่าสนใจมากในการเห็นวิธีการทำหุ่นเชิด ตัวหุ่นเชิดมีความสวยงามและประณีตมาก มันถูกทำขึ้นโดยงานฝีมือล้วนๆ ถูกระบายสีอย่างงดงาม แต่เมื่อเราดูหนังตะลุง เรากลับได้เห็นเพียงแค่เงาของมัน จุดนี้จึงทำให้ผมคิดได้ว่าทำไมเราถึงมีโอกาสได้เห็นเพียงแค่เงาของหุ่นเชิด ทั้งๆ ที่มันถูกทำออกมาสวยขนาดนั้น มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมกลับมานั่งคิดบ่อยมาก
จนถึงตอนนี้ คุณคิดว่าอะไรคือลายเซ็นในภาพยนตร์สยองขวัญของ โจโก อันวาร์
‘ความสนุก’ และ ‘ความรัก’ มันควรจะสนุกและเพลิดเพลิน เพราะผมไม่ได้ทำภาพยนตร์บ่อยมากนัก อาจจะแค่หนึ่งครั้งต่อปี หรือหนึ่งครั้งต่อสองปี ทุกครั้งที่ผมทำมันจะเป็นเพราะผมรักมัน ไม่ใช่เพราะผมต้องการทำเงินจากมัน ผมรักการทำภาพยนตร์มากๆ และภาพยนตร์มันเป็นเหมือนชีวิตจิตใจของผมไปแล้ว ดังนั้นผมจึงเคารพมันมากๆ และตั้งใจทำภาพยนตร์ในทุกๆ ครั้ง
คำถามสุดท้าย อยากให้คุณลองบอกไปถึงแฟนภาพยนตร์สยองขวัญว่าทำไม Impetigore จึงเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่พวกเขาไม่ควรพลาดชมในโรงภาพยนตร์
Impetigore เป็นภาพยนตร์ที่สนุกมากๆ เหมือนกับคุณได้ขึ้นรถไฟเหาะเลย และมันจะเป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่คุณหาไม่ได้จากที่ไหน ดังนั้นอย่าลืมไปดูกันนะครับ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
Impetigore บ้านเกิดปีศาจ มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=nOgUeSOH96Q