ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมฉุกเฉินนอกรอบกับบรรดาผู้นำโลก ระหว่างการประชุม G20 ถึงกรณีขีปนาวุธ 1 ลูกที่ถูกยิงตกลงในหมู่บ้านเพรซโวดาว (Przewodow) ของโปแลนด์ ห่างจากชายแดนยูเครนเพียง 6 กิโลเมตร จนเกิดระเบิดและเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน
ทางการโปแลนด์ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวเกิดจากขีปนาวุธที่ผลิตโดยรัสเซีย แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าขีปนาวุธดังกล่าวถูกยิงมาจากรัสเซียหรือไม่
ขณะที่ไบเดนเปิดเผยว่า มีข้อมูลเบื้องต้นที่แย้งกับข้อสันนิษฐานดังกล่าว และชี้ว่ามีแนวโน้มที่ขีปนาวุธดังกล่าวอาจไม่ได้ถูกยิงมาจากรัสเซีย
“มีข้อมูลเบื้องต้นที่โต้แย้งความเห็นนั้น ผมไม่ต้องการพูดจนกว่าการสืบสวนจะเสร็จสิ้น แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ในแนวทางของวิถีกระสุนที่ยิงมาจากรัสเซีย แต่เราต้องมาดูกัน” ไบเดนกล่าว พร้อมยืนยันว่าสหรัฐฯ และชาติสมาชิก NATO จะดำเนินการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ
ทั้งนี้ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือ NATO ซึ่งมีโปแลนด์เป็นหนึ่งในชาติสมาชิก ได้เรียกประชุมฉุกเฉินถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดยหากเป็นจริงอาจทำให้รัสเซียเสี่ยงขยายความขัดแย้งกับโปแลนด์และ NATO ซึ่งบทบัญญัติในมาตรา 5 ของ NATO ระบุว่า “การโจมตีสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่ง เท่ากับเป็นการโจมตีสมาชิกทุกประเทศ”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่เมื่อวานนี้ (15 พฤศจิกายน) รัสเซียได้ระดมยิงขีปนาวุธถล่มกรุงเคียฟและหลายเมืองทั่วประเทศ รวมถึงเมืองลวิฟทางตะวันตก ที่อยู่ห่างจากชายแดนโปแลนด์เพียงประมาณ 80 กิโลเมตร
โดยประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนระบุว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธโจมตีทั่วยูเครนรวม 85 ลูก และเตือนว่าอาจมีการโจมตีมากขึ้นอีกหลังจากนี้
ทางด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ปฏิเสธการยิงขีปนาวุธตกในดินแดนโปแลนด์ พร้อมตอบโต้ว่า รายงานดังกล่าวเป็นการจงใจยั่วยุโดยพุ่งเป้าขยายความตึงเครียดของสถานการณ์
ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีอาร์ทิส ปาบริกส์ ของลัตเวีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิก NATO ระบุถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ และอาจทำให้ NATO ต้องสนับสนุนระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศแก่โปแลนด์และยูเครนมากขึ้น
ภาพ: SAUL LOEB / AFP
อ้างอิง: