วานนี้ (28 มีนาคม) ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐอเมริกา ประณามเหตุนองเลือดในเมียนมา หลังจากกองทัพและเจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังเข่นฆ่าประชาชนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากกว่า 100 ราย สื่อท้องถิ่นระบุ มียอดผู้เสียชีวิตรวมแล้วอย่างน้อย 452 ราย นับตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ตัวเลขผู้เสียชีวิตระดับหลักร้อยรายภายในวันเดียวถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก โดยผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า เหตุนองเลือดที่เกิดขึ้นในเมียนมา “เป็นเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่ง” และมีผู้คนจำนวนมากที่ถูกฆ่าตายโดยไม่จำเป็น
ขณะที่สหภาพยุโรปและรัฐมนตรีกลาโหม 12 ประเทศ ที่รวมถึงรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ต่างร่วมประณามความโหดร้ายของกองทัพเมียนมาที่กระทำต่อประชาชน พร้อมระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้
โดยอายุเฉลี่ยของผู้เสียชีวิตในเมียนมามีแนวโน้มลดลง มีเด็กเสียชีวิตจากการใช้กำลังความรุนแรงภายหลังการก่อรัฐประหารเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเด็กที่อายุน้อยที่สุดเป็นเพียงเด็กผู้หญิงวัยเพียง 7 ปีเท่านั้น สถานการณ์ที่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในเมียนมา อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการกดดันจากประชาคมโลกขณะนี้อาจไม่เพียงพอในการยุติการสังหารประชาชนอย่างเลือดเย็นในเวลานี้
บทความที่เกี่ยวข้อง:
- ชมคลิป: ‘ประท้วงเงียบ’ เมียนมาไร้ผู้ชุมนุม ใช้ความเงียบต้านรัฐประหาร
- รัฐประหารเมียนมา: ใครเป็นใครในฝ่ายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
- ชมคลิป: “ผมฆ่าประชาชนร่วมชาติไม่ได้” เสียงทหาร-ตำรวจเมียนมาที่ลี้ภัยไปอินเดีย ในวันที่โทษประหารรออยู่
ภาพ: Chip Somodevilla / Getty Images
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: