กลุ่ม บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เดินหน้าทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ตั้งเป้าเติบโตแบบไฮบริด (Hybrid) จับมือพันธมิตรกลุ่มบีทีเอสและเกาหลี ขยายธุรกิจด้านการเงินและเทคโนโลยี รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ปัญญา ชุติสิริวงศ์ Chief Investor Relations Officer JMART กล่าวว่า ภายหลังกลุ่ม JMART ดำเนินการเพิ่มทุนโดยขายหุ้นให้กับกลุ่ม บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) นั้น ขั้นตอนต่อไป JMART จะผนึกจุดแข็ง หรือ Synergy 3 กลุ่มธุรกิจหลักของเครือ JMART คือ 1. กลุ่มรีเทล (Group Retail) 2. กลุ่มการเงิน (Group Finance) และ 3. กลุ่มเทคโนโลยี (Group Technology) กับพันธมิตร
โดยภาพรวมธุรกิจในอนาคต 3-5 ปี ข้างหน้า กลุ่ม JMART จะไม่เป็นเพียงผู้ประกอบการที่มีหน้าร้านในการให้บริการลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่จะพัฒนาสู่การให้บริการผู้บริโภคที่เป็นฐานลูกค้าของกลุ่มผ่านช่องทางการเชื่อมโยงแบบดิจิทัล คาดว่าภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากนี้ จะเห็นพัฒนาการการให้บริการด้านดิจิทัลของกลุ่มเพิ่มมากขึ้น
“ธุรกิจเดิมๆ ของเราคือร้านขายมือถือ แล้วพัฒนามาจนตอนนี้มี 3 ธุรกิจหลักๆ เรามองว่าในอนาคตเราจะไม่ขายผ่านหน้าร้านอย่างเดียว เงินทุนของกลุ่มบีทีเอสที่เข้ามา จะช่วยปลดล็อกเรื่องเงินทุนของเรามาก เรามีฐานทุนที่ใหญ่ขึ้นมากพอที่จะรองรับการขยายธุรกิจออกไปในอนาคต ภายใน1 ปี น่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของเรา จากเป้าหมายที่เราตั้งไว้ภายใน 3-5 ปี เราจะต้องไปอยู่บนดิจิทัลมากขึ้น”
ปัจจุบัน JMART มีสถานะเป็นโฮลดิ้ง คอมพานี ประกอบธุรกิจลงทุนในธุรกิจอื่น โดยมีธุรกิจหลักของบริษัทแกนคือ จำหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่หลักทุกรายและผู้ให้บริการทุกเครือข่าย รวมถึงการขยายธุรกิจเข้าไปในตลาดจัดจำหน่ายกล้องดิจิทัลและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
โดยธุรกิจรีเทลหรือธุรกิจค้าปลีก จะอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เจมาร์ท โมบาย (JMB) และบริษัทบีนส์แอนด์บราวน์ ส่วนธุรกิจการเงินจะอยู่ภายใต้การบริหารงานของ บมจ.เจเอ็มที (JMT) และ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และพื้นที่เช่าอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีอยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัทเจ เวนเจอร์ส
นอกจากนี้ยังมี บมจ.เคบี เจ แคปปิตอล (KB J Capital) ซึ่งมีกลุ่มบริษัท KB Kookmin Card ที่เข้ามาพาร์ตเนอร์ในบริษัทเจ ฟินเทค ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลด้วย
กลุ่ม JMART มี 3 บริษัทในเครือที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วย SINGER, JMT และ J
โดยปลายเดือนสิงหาคม 2564 คณะกรรมการ JMART ได้มีมติออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ 2 บริษัท คือ บมจ.วีจีไอ (VGI) และ บมจ.ยู ซิตี้ (U) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบีทีเอส รวมเป็นเม็ดเงินลงทุนประมาณ 1.75 หมื่นล้านบาท โดย U จะถือหุ้น 24.9% ใน SINGER รวมทั้งถือหุ้น 9.9% ใน JMART ขณะที่ VGI จะถือหุ้น 15.0% ใน JMART
ปัญญากล่าวว่า ปัจจุบัน JMT ซึ่งดำเนินธุรกิจซื้อหนี้ ถือเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่สร้างกำไรให้กับ JMART จำนวนมาก และมีโอกาสในการขยายการเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ KB J Capital ซึ่งร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศเกาหลี มีแผนที่จะออกบริการบัตรเครดิตเพื่อให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มที่ชื่นชอบกระแสและวัฒนธรรมเกาหลีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ ตามเป้าหมายการขยายธุรกิจ JMART ยังมีแผนนำบริษัทเอสจี แคปปิตอล จำกัด ซึ่งทำธุรกิจบริการให้สินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมและการจัดโครงสร้างภายใน รวมทั้งจะรุกเข้าไปในธุรกิจประกันเพิ่มมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ กลุ่ม JMART ยังคงเป้าหมายการเติบโตของกำไรสุทธิไว้ไม่ต่ำกว่า 50% และจะเติบโตต่อเนื่องในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการมีฐานเงินทุนใหม่เข้ามาจาก VGI และ U ซึ่งคาดว่าดีลจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปีนี้
“เป้าหมายของเราต้องการเป็นไฮบริด คือเราจะ Grow ทั้งรายได้ กำไร และการจ่าย Dividend เรา Grow มากกว่า 30% ขึ้นไปทุกปี และจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องในทุกๆ บริษัทในกลุ่ม เรายังมองหาโอกาสใหม่ๆ หากไม่มีเงินทุน การที่เราจะไปถึงเป้าหมายต้องใช้เวลานาน แต่ตอนนี้เราปลดล็อกเรื่องเงินทุนแล้ว และเราจะทรานส์ฟอร์มตัวเอง การไปถึงจุดหมายก็จะเร็วขึ้น” ปัญญากล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP