ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดหุ้นโลกในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดการณ์ว่าตลาดจะยังเผชิญความไม่แน่นอนจากประเด็นสงครามการค้า เงินเฟ้อ และนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แม้สถานการณ์จะคลี่คลายลงบ้างแล้วเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก
ตราวุทธิ์กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกได้แสดงให้เห็นถึงความผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะเหตุการณ์ ‘วันปลดแอก’ (Liberation Day) ที่ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงกว่า 20% ภายในเดือนกว่าๆ อย่างไรก็ตาม ตลาดได้ฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วหลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเลื่อนกำหนดการต่างๆ สะท้อนถึง ‘ความแข็งแกร่งทางจิตใจ’ ของนักลงทุน และชี้ว่า ‘The Worst Is Over’ หรือช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามต่อจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี มีดังนี้
- เงินเฟ้อ: แม้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ล่าสุดจะยังไม่แสดงภาวะเงินเฟ้อรุนแรง แต่เริ่มเห็นสัญญาณเพิ่มขึ้นในสินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิด ซึ่งในอดีตหลังเหตุการณ์สำคัญ เงินเฟ้อในสหรัฐฯ เคยพุ่งสูงถึง 18.1%
- นโยบาย Fed: นักลงทุนยังคงจับตาการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งถูกกดดันให้ลดดอกเบี้ยเพื่อลดภาระหนี้และดึง Fund Flow กลับเข้าตลาดหุ้น
- สงครามเทคโนโลยี: การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงรุนแรง โดยสหรัฐฯ มุ่งเน้นการส่งออกเทคโนโลยี AI และพยายามสกัดกั้นจีน แม้จีนจะพัฒนาได้หลายอย่าง แต่ AI ของสหรัฐฯ ยังคงเป็น AI ระดับโลก และมีแต้มต่ออย่างน้อย 10 ปี
ชูกลยุทธ์ Core & Satellite: ทางออกสำหรับนักลงทุนไทย
ตราวุทธิ์ย้ำว่า ในภาวะที่ข้อมูลไหลเร็วและอารมณ์มีผลต่อการลงทุน การกระจายความเสี่ยง (Diversification) ด้วยการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite จึงเป็นกุญแจสำคัญ
โดยพอร์ต Core (80% ของเงินลงทุน): Global ETF ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก สร้างผลตอบแทนระยะยาวประมาณ 8% ต่อปี ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนและสร้างความมั่นคงให้พอร์ต
“จิตตะ เวลธ์มีการ Rebalance พอร์ตอัตโนมัติ ช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลจังหวะตลาด ผลงานพิสูจน์แล้วว่า Global ETF ลดความเสี่ยง Max Drawdown ได้เกือบครึ่งเมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 (-14% vs -23%) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี อยู่ในกลุ่ม Top 10% ของกองทุนรวมทั่วไป” ตราวุทธิ์ กล่าว
ส่วนพอร์ต Satellite (20% ของเงินลงทุน): Jitta Ranking Alpha จะเน้นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยลงทุนในตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตดี โดยใช้ Market Prediction AI ของจิตตะ เวลธ์ คัดเลือก ‘ตลาดหุ้นที่ดี ในเวลาที่เหมาะสม’ โดยข้อมูล ณ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา Market Prediction ชี้หุ้นสหรัฐฯ เริ่มแพง (อัตราส่วนหุ้นถูกต่อแพง 0.61 เท่า) ขณะที่ หุ้นจีน ยังน่าลงทุนมากที่สุด (อัตราส่วนหุ้นถูกต่อแพง 15.6 เท่า)
สำหรับผลตอบแทนการลงทุนในนโยบายต่างๆ ของ Jitta Wealth ตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบัน (14 กรกฎาคม 2568) นั้น นโยบายที่เกี่ยวกับหุ้นจีนสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น เช่น Jitta Ranking หุ้นฮ่องกง สามารถสร้างผลตอบแทน (YTD) +19.64% และหากดูเป็นธีมการลงทุน พบว่าธีมบริการสุขภาพจีน +29.34% ธีมพลังงานสะอาดจีน +26.19% ธีมตลาดหุ้นจีน +23.16% ธีมหุ้นฮ่องกง +22.50% ธีมเทคโนโลยีจีน +19.26% ส่วนJitta Ranking หุ้นจีน +4.77% และ Jitta Ranking Alpha +4.15%
ตราวุทธิ์ แนะนำเพิ่มว่า การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ว่าเป็น ‘ผู้ชนะที่แท้จริง’ ซึ่งช่วยให้พอร์ตเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอแม้ในภาวะผันผวน
“ภารกิจของเราคือการนำอารมณ์ออกจากการลงทุน เราใช้เทคโนโลยีช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ต Core และแนะนำการลงทุนในพอร์ต Satellite ด้วยข้อมูลที่แม่นยำ เพื่อให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลและเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ตราวุทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย